ระบบ"บอกต่อ"
เริ่มต้นรายได้จากค่า"บอกต่อ"(ค่าแนะนำหรือเบี้ยขยัน)100%ของPV(คะแนน)
ยกตัวอย่าง อาทิ แนะนำซื้อ"แอคซอน"
1ขวด (มีคะแนน150PV) ก็จะได้รับค่าบอกต่อ 150บาท
ระบบ "บอกต่อ" เน้นแนะนำเขาสมัครซื้อสินค้าไปใช้
ท่านได้ "ค่าบอกต่อ" อย่างเดียวยังไม่พอ ยังได้คะแนนเอามาต่อสายงานคำนวณโบนัสอีกต่อหนึ่งแบบ AutoRun
ตามโครงสร้างเครือข่ายที่วางไว้(ตามตำแหน่ง)
เราลองมาดูตัวอย่างกัน อาทิ
แนะนำคนอื่นซื้อ "แอคซอน" 1ขวด ได้ "ค่าบอกต่อ" 100%ของคะแนน(PV)
ซึ่งเท่ากับ 150 บาท แล้วยังได้คะแนนไปคำนวณโบนัสอีก 150 PV(คะแนน)
แต่ถ้าเน้นเอาไปขายปลีกจะได้แค่กำไรขายปลีกอย่างเดียวคือ 200บาทแค่นั้น
(แต่ต้องขายปลีกราคา 900 บาท) แต่ระบบบอกต่อ
ผู้บริโภคจะซื้อ"แอคซอน"ได้ในราคาแค่ 700บาทเท่านั้น(ราคาสมาชิก)
ซึ่งถูกกว่าซื้อราคาปลีก900บาท และยังจะมีรายได้จาก"ค่าบอกต่อ"อีกถึง
150 บาท จากการที่บริษัทจ่ายให้
และคนที่ซื้อสินค้าไปใช้ก็ยังได้ราคาสินค้าที่ถูกลง(แต่ต้องสมัครเป็นสมาชิก)
เมื่อเขาเป็นสมาชิก เขาก็ช่วยเรา"บอกต่อ" ของดีที่เขาใช้ได้ผล
"ของดี"เราต้องช่วยกันขยัน"บอกต่อ"
เราขยันบอกต่อมากเราก็ได้"ค่าบอกต่อ"มาก
โดยที่เราไม่ต้องไปเดิน"ขายสินค้า" เพียงนำพา"ผลงาน"จริงไปบอกต่อและคอยเป็นพี่เลี้ยงเขาเท่านั้น
"การบอกต่อ" เริ่มต้นคือ..การชวนคนมาซื้อสินค้าใช้
"ไม่ใช่"ชวนคนมาขายสินค้า
ให้เขามาสมัครซื้อสินค้าและเอาสินค้าไปใช้ให้ได้ผลดี เห็นผลอันอัศจรรย์
แล้วก็ชวนกันมาดูมาศึกษาจนชอบใจ แล้วชวนให้เขามา "เลียนแบบ" การใช้สินค้าแบบเราและแนะนำเขาให้ไป "บอกต่อ"
เราก็รอรับรายได้ "ค่าบอกต่อ"
และรอรับรายได้ทาง"เครือข่าย"รายสัปดาห์อีกทาง
หัวใจสำคัญของระบบ "การบอกต่อ" คือ..สินค้าต้องใช้ได้ผลจริง
และมีผลงานอ้างอิง และโชว์ความจริงและของจริงได้ ห้าม..!! ไม่ให้ไปมีการหลอกลวง
สินค้าที่ใช้ทางการเกษตรที่"ใช่"และ"ถูกต้อง"
ได้ผลจริง คุ้มค่าจริง เหมาะสมกับการ"บอกต่อ"มาก
เพราะจะได้ไปทั่วถึงและได้ประโยชน์ต่อเกษตรกรที่จะนำไปใช้เพื่อให้ได้ผลผลิตมากเพิ่มขึ้น
ได้รายได้เพิ่มขึ้นในวงกว้าง (แต่มีข้อแม้ว่า ต้องใช้ได้ผลจริง คุ้มค่าจริง
ไม่มีโป้ปดมดเท็จ) ถ้าแนะนำคนซื้อไปใช้แล้วได้ผล100%
เกือบทุกครั้งพลังการ"บอกต่อ"ก็จะสูง
คนก็จะเกิดการเลียนแบบมากขึ้นและการซื้อใช้ก็จะสูงขึ้น
สินค้าจะถูกใช้จริงเพราะดีจริง
ไม่ใช่ไม่ดีแล้วไม่มีที่ไปต้องเอาไปกองทิ้งจนตีบตันและระบายไม่ทัน
ที่สำคัญ..ผลการใช้สินค้าต้องไม่มีการโกหก เพราะพืชพูดไม่ได้ โกหกไม่เป็น
ถ้าดีจริงก็คือดีจริง ถ้าได้ผลจริงก็คือได้ผลจริง
ตรวจสอบได้จากผลผลิตและคุณภาพที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับที่เคยทำมา
จึงพิสูจน์ได้ว่าคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค้า
ซึ่งตรงนี้นี่เองสินค้าเกี่ยวกับพืชจึงมีความแตกต่างจากสินค้าหมวดอื่นๆ
อาทิ หมวดสุขภาพ ซึ่งให้คนกิน
บางครั้งกินไม่ได้ผลแต่คนอยากได้ผลประโยชน์จึงอาจบอกว่า"ดี" ว่าได้ผล
แล้วไป"บอกต่อ" กันแบบโกหกก็มี
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันอาจจะไม่ได้ผลจริงก็เป็นได้(เพราะคนเราพูดดำเป็นขาวได้
คนโกหกได้) ระบบ"บอกต่อ"ก็จะสะดุด หรือไปไม่ได้ไกล เพราะมันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
หรือบางทีสินค้าสุขภาพก็อาจกินแล้วได้ผลจริง แต่พอจะไป"บอกต่อ"
อาจจะตีบตันเพราะคนเราอาจชอบกินอะไรที่ไม่เหมือนกันก็มี บางคนไม่ชอบกินอาหารเสริม
บางคนไม่ชอบกินวิตามิน ก็อาจไม่ซื้อกินก็เป็นได้
"การบอกต่อ"ก็อาจจะสะดุด และหยุดลงในช่วงใดช่วงหนึ่งซึ่งก็เคยเห็นและเป็นมาแล้ว
หรือว่าบางกรณี.."กินดี กินแล้วหายโรคร้ายบรรเทา" ก็เลยหยุดกินก็มี
บอกว่าร่างกายดีแล้ว ระบบ"บอกต่อ"ก็สะดุดได้เช่นกัน
ระบบ"บอกต่อ"สินค้าต้องถูกใช้จริง
และมี"ผลงาน"ออกมาดีจริง เห็นผลอันน่าอัศจรรย์ จนชวนกันมาดูได้มากๆ
ยิ่งดี ยิ่งใช้ยิ่งได้ผลจนคนใช้กันมากๆ ปริมาณการใช้สินค้าก็เพิ่มขึ้น
การ"บอกต่อ"ก็จะมากขึ้น "เครือข่ายผู้ใช้"ก็จะเกิดมากขึ้น
รายได้จากโบนัสเครือข่ายก็จะมากขึ้นตามมา(ตามระบบที่วางไว้
เพราะเราต่อสายงานให้ในระบบSemi-AutoRun)
ระบบ"บอกต่อ"
มันจะไปไม่ได้มีทางเดียวคือ"สินค้า"มันไม่ดีจริง
ดีเพราะคำโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น มันไม่ได้ของจริง
ระบบ"บอกต่อ"มันจะเดินต่อไปได้ไม่ตลอด
อาจไปได้เฉพาะช่วงแรกๆเท่านั้นแต่มันไม่ยั่งยืนอย่างแน่นอน
สินค้าที่"ไม่ใช่" อาจโกหกคนได้ แต่โกหกพืชไม่ได้อย่างแน่นอน
ระบบ"บอกต่อ" สามารถทำได้หลายวิธี
อาทิ
1)
การพาไปชมงานที่โชว์ผลงานถึงแปลงหรือสวนที่ใช้สินค้าได้ผล อาทิ ในวันขุดมัน
วันเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น..ก็ใช่!!
2) การพาไปดูแปลงปลูกจริง
ที่มีการใช้สินค้าจริงและมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นผลแตกต่างจริง(เมื่อเปรียบเทียบกับแปลงอื่นๆที่ไม่ได้ใช้)..ก็ใช่!!
3) การออกบรรยายหรือ House Meeting กลุ่มเล็กๆ
ทุกวัน อาทิ การเปิดแฟ้ม..ก็ใช่!!
4) การไปสาธิตจริงและบรรยาย&แนะนำจริงในแปลงปลูกจริง
(Field Meeting) อาทิ แช่ท่อนพันธุ์ การถากต้นยาง..ก็ใช่!!
5) การออกบูธ เพื่อโชว์ผลงานและแนะนำสินค้า
ในงานต่างๆ..ก็ใช่!!
6) การประชุมเพื่อบรรยายฉายPower PointหรือฉายVDO
ผลงานที่ผ่านมา..ก็ใช่!!
7)
การโฆษณาและประชาสัมพันธ์แสดงผลงานผ่านโลกโซเชียล(Social Network) อาทิ
เฟซบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ อินสตราแกรม ฯลฯ..ก็ใช่!!
8) การแจกเอกสาร ใบโบรชัวร์ แผ่นซีดี
ผลงานผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่ง อาทิ ไดเร็คเมล หรือเดินแจกในสถานที่ชุมชน อาทิ
ตลาดสด งานวัด งานประจำปี..ก็ใช่!!
9)
การแจกตัวอย่างสินค้าให้ไปทดลองใช้แล้วตามไปหาเพื่อติดตามไปสอนธุรกิจ..ก็ใช่!!
นี่เป็น..แนวทางเบื้องต้นในการ"บอกต่อ"
ที่สำคัญต้องมี"ผลงาน"จริงกล่าวอ้างได้ อาจจะเป็นแปลงปลูกจริง
เป็นแปลงหรือสวนของเราหรืออ้างอิงสวนคนอื่นที่ใช้จริงได้ผลจริงยืนยันให้เขาเชื่อถือก็ได้
และต่อไปก็จะเป็น"เครือข่ายโชว์ผลงาน"กันไปเรื่อยๆแบบ"ปากต่อปาก"จนเกิด"เครือข่ายผู้ใช้"ต่อไปก็จะเกิด"เครือข่ายบอกต่อ"ไปเรื่อยๆ
ส่วนใครจะมีวิธีนอกเหนือจากนี้ก็ได้ ไม่มีผิด
ต้องไปคิดกันเอาเอง ถ้าคิดว่าสามารถทำให้คนนำสินค้าไปใช้ได้จริง ใช้แล้วได้ผลจริง
มีผลงานมาแสดงเป็นตัวอย่างจริง ชวนคนมาดูมาฟังจริง
ใช้วิธีใดก็ได้ให้คนมาช่วยกัน"บอกต่อ"
"ผลงานเปิด ปากเปิด ธุรกิจเปิด
รายได้เปิด"
นี่คือ..หัวใจสำคัญของระบบ"บอกต่อ"
แบบ"ปากต่อปาก"(ORG-Viral Achievement
Marketing)
ในส่วนของบริษัทเองก็เริ่มต้นระบบ"บอกต่อ"ผลงานสินค้าด้วยการทำงานผ่านทางโลกโซเชียล
ด้วยการนำเสนอผลงานสินค้าในหน้าFacebook , Line , Twitter , Website , Blogspot , YouTube และอื่นๆและตอนนี้มุ่งเน้นการแจก"ตัวอย่างสินค้า"
ให้ไปใช้จริง เมื่อเขาเอาไปใช้จริง ได้ผลจริง
เขาก็จะมาบอกต่อคนอื่นๆในโลกโซเชียลเช่นเดียวกับเขา
ยิ่งเขามีผลประโยชน์2ทางหลักๆแล้วด้วย(
ค่าบอกต่อกับค่าโบนัสเครือข่าย(แบบต่อสายงานAutoRun) เขาย่อมอยากบอกต่อเพราะนิสัยพื้นฐานของคนไทยเราแล้ว
จริงๆคือชอบ"ขี้อวด"คือชอบอวดอยู่แล้วถ้ามีของดี
แต่กรณีที่ไม่อวดผลงานของพืชที่ใช้แล้วได้ผลดีก็เพราะกลัวมีคนมาเป็นคู่แข่ง
แต่ถ้าเราจัดแบ่งระบบผลประโยชน์ดีๆได้ถูกต้องและลงตัว
ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีใครไป"บอกต่อ"กัน
"วันนี้..คุณสร้างเครือข่าย
วันข้างหน้า..เครือข่ายจะสร้างรายได้
ให้คุณ"
หัวใจสำคัญของระบบ "การบอกต่อ" คือ..สินค้าต้องใช้ได้ผลจริง
และมีผลงานอ้างอิง และโชว์ความจริงและของจริงได้ ห้าม..!! ไม่ให้ไปมีการหลอกลวง
สินค้าที่ใช้ทางการเกษตรที่"ใช่"และ"ถูกต้อง"
ได้ผลจริง คุ้มค่าจริง เหมาะสมกับการ"บอกต่อ"มาก
เพราะจะได้ไปทั่วถึงและได้ประโยชน์ต่อเกษตรกรที่จะนำไปใช้เพื่อให้ได้ผลผลิตมากเพิ่มขึ้น
ได้รายได้เพิ่มขึ้นในวงกว้าง (แต่มีข้อแม้ว่า ต้องใช้ได้ผลจริง คุ้มค่าจริง
ไม่มีโป้ปดมดเท็จ) ถ้าแนะนำคนซื้อไปใช้แล้วได้ผล100%
เกือบทุกครั้งพลังการ"บอกต่อ"ก็จะสูง
คนก็จะเกิดการเลียนแบบมากขึ้นและการซื้อใช้ก็จะสูงขึ้น
สินค้าจะถูกใช้จริงเพราะดีจริง
ไม่ใช่ไม่ดีแล้วไม่มีที่ไปต้องเอาไปกองทิ้งจนตีบตันและระบายไม่ทัน
ที่สำคัญ..ผลการใช้สินค้าต้องไม่มีการโกหก เพราะพืชพูดไม่ได้ โกหกไม่เป็น
ถ้าดีจริงก็คือดีจริง ถ้าได้ผลจริงก็คือได้ผลจริง ตรวจสอบได้จากผลผลิตและคุณภาพที่เพิ่มขึ้น
เมื่อเทียบกับที่เคยทำมา จึงพิสูจน์ได้ว่าคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค้า
ซึ่งตรงนี้นี่เองสินค้าเกี่ยวกับพืชจึงมีความแตกต่างจากสินค้าหมวดอื่นๆ
อาทิ หมวดสุขภาพ ซึ่งให้คนกิน
บางครั้งกินไม่ได้ผลแต่คนอยากได้ผลประโยชน์จึงอาจบอกว่า"ดี" ว่าได้ผล
แล้วไป"บอกต่อ" กันแบบโกหกก็มี
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันอาจจะไม่ได้ผลจริงก็เป็นได้(เพราะคนเราพูดดำเป็นขาวได้
คนโกหกได้) ระบบ"บอกต่อ"ก็จะสะดุด หรือไปไม่ได้ไกล
เพราะมันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด หรือบางทีสินค้าสุขภาพก็อาจกินแล้วได้ผลจริง
แต่พอจะไป"บอกต่อ" อาจจะตีบตันเพราะคนเราอาจชอบกินอะไรที่ไม่เหมือนกันก็มี
บางคนไม่ชอบกินอาหารเสริม บางคนไม่ชอบกินวิตามิน ก็อาจไม่ซื้อกินก็เป็นได้
"การบอกต่อ"ก็อาจจะสะดุด
และหยุดลงในช่วงใดช่วงหนึ่งซึ่งก็เคยเห็นและเป็นมาแล้ว
หรือว่าบางกรณี.."กินดี กินแล้วหายโรคร้ายบรรเทา" ก็เลยหยุดกินก็มี
บอกว่าร่างกายดีแล้ว ระบบ"บอกต่อ"ก็สะดุดได้เช่นกัน
ระบบ"บอกต่อ"สินค้าต้องถูกใช้จริง
และมี"ผลงาน"ออกมาดีจริง เห็นผลอันน่าอัศจรรย์ จนชวนกันมาดูได้มากๆ
ยิ่งดี ยิ่งใช้ยิ่งได้ผลจนคนใช้กันมากๆ ปริมาณการใช้สินค้าก็เพิ่มขึ้น
การ"บอกต่อ"ก็จะมากขึ้น "เครือข่ายผู้ใช้"ก็จะเกิดมากขึ้น
รายได้จากโบนัสเครือข่ายก็จะมากขึ้นตามมา(ตามระบบที่วางไว้
เพราะเราต่อสายงานให้ในระบบSemi-AutoRun)
ระบบ"บอกต่อ"
มันจะไปไม่ได้มีทางเดียวคือ"สินค้า"มันไม่ดีจริง
ดีเพราะคำโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น มันไม่ได้ของจริง
ระบบ"บอกต่อ"มันจะเดินต่อไปได้ไม่ตลอด อาจไปได้เฉพาะช่วงแรกๆเท่านั้นแต่มันไม่ยั่งยืนอย่างแน่นอน
สินค้าที่"ไม่ใช่" อาจโกหกคนได้ แต่โกหกพืชไม่ได้อย่างแน่นอน
ระบบ"บอกต่อ" สามารถทำได้หลายวิธี
อาทิ
1) การพาไปชมงานที่โชว์ผลงานถึงแปลงหรือสวนที่ใช้สินค้าได้ผล
อาทิ ในวันขุดมัน วันเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น..ก็ใช่!!
2) การพาไปดูแปลงปลูกจริง
ที่มีการใช้สินค้าจริงและมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นผลแตกต่างจริง(เมื่อเปรียบเทียบกับแปลงอื่นๆที่ไม่ได้ใช้)..ก็ใช่!!
3) การออกบรรยายหรือ House Meeting กลุ่มเล็กๆ
ทุกวัน อาทิ การเปิดแฟ้ม..ก็ใช่!!
4) การไปสาธิตจริงและบรรยาย&แนะนำจริงในแปลงปลูกจริง
(Field Meeting) อาทิ แช่ท่อนพันธุ์ การถากต้นยาง..ก็ใช่!!
5) การออกบูธ เพื่อโชว์ผลงานและแนะนำสินค้า
ในงานต่างๆ..ก็ใช่!!
6) การประชุมเพื่อบรรยายฉายPower PointหรือฉายVDO
ผลงานที่ผ่านมา..ก็ใช่!!
7) การโฆษณาและประชาสัมพันธ์แสดงผลงานผ่านโลกโซเชียล(Social
Network) อาทิ เฟซบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ อินสตราแกรม
ฯลฯ..ก็ใช่!!
8) การแจกเอกสาร ใบโบรชัวร์ แผ่นซีดี
ผลงานผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่ง อาทิ ไดเร็คเมล หรือเดินแจกในสถานที่ชุมชน อาทิ
ตลาดสด งานวัด งานประจำปี..ก็ใช่!!
9) การแจกตัวอย่างสินค้าให้ไปทดลองใช้แล้วตามไปหาเพื่อติดตามไปสอนธุรกิจ..ก็ใช่!!
นี่เป็น..แนวทางเบื้องต้นในการ"บอกต่อ"
ที่สำคัญต้องมี"ผลงาน"จริงกล่าวอ้างได้ อาจจะเป็นแปลงปลูกจริง
เป็นแปลงหรือสวนของเราหรืออ้างอิงสวนคนอื่นที่ใช้จริงได้ผลจริงยืนยันให้เขาเชื่อถือก็ได้
และต่อไปก็จะเป็น"เครือข่ายโชว์ผลงาน"กันไปเรื่อยๆแบบ"ปากต่อปาก"จนเกิด"เครือข่ายผู้ใช้"ต่อไปก็จะเกิด"เครือข่ายบอกต่อ"ไปเรื่อยๆ
ส่วนใครจะมีวิธีนอกเหนือจากนี้ก็ได้ ไม่มีผิด
ต้องไปคิดกันเอาเอง ถ้าคิดว่าสามารถทำให้คนนำสินค้าไปใช้ได้จริง ใช้แล้วได้ผลจริง
มีผลงานมาแสดงเป็นตัวอย่างจริง ชวนคนมาดูมาฟังจริง ใช้วิธีใดก็ได้ให้คนมาช่วยกัน"บอกต่อ"
"ผลงานเปิด ปากเปิด ธุรกิจเปิด รายได้เปิด"
นี่คือ..หัวใจสำคัญของระบบ"บอกต่อ"
แบบ"ปากต่อปาก"(ORG-Viral
Achievement Marketing)
ในส่วนของบริษัทเองก็เริ่มต้นระบบ"บอกต่อ"ผลงานสินค้าด้วยการทำงานผ่านทางโลกโซเชียล
ด้วยการนำเสนอผลงานสินค้าในหน้าFacebook , Line , Twitter , Website , Blogspot , YouTube และอื่นๆและตอนนี้มุ่งเน้นการแจก"ตัวอย่างสินค้า"
ให้ไปใช้จริง เมื่อเขาเอาไปใช้จริง ได้ผลจริง เขาก็จะมาบอกต่อคนอื่นๆต่อไป
บอกต่อๆกันไป แล้วได้ค่า"บอกต่อ" 2
ทางที่วางไว้
"วันนี้..คุณสร้างเครือข่าย
วันข้างหน้า..เครือข่ายจะสร้างรายได้
ให้คุณ"
084-880-9595
www.organellelife.com
www.facebook.com/organellelife.org
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น