วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ระบบ"บอกต่อ"


ระบบ"บอกต่อ"
เริ่มต้นรายได้จากค่า"บอกต่อ"(ค่าแนะนำหรือเบี้ยขยัน)100%ของPV(คะแนน)
ยกตัวอย่าง อาทิ แนะนำซื้อ"แอคซอน" 1ขวด (มีคะแนน150PV) ก็จะได้รับค่าบอกต่อ 150บาท
ระบบ "บอกต่อ" เน้นแนะนำเขาสมัครซื้อสินค้าไปใช้ ท่านได้ "ค่าบอกต่อ" อย่างเดียวยังไม่พอ ยังได้คะแนนเอามาต่อสายงานคำนวณโบนัสอีกต่อหนึ่งแบบ AutoRun ตามโครงสร้างเครือข่ายที่วางไว้(ตามตำแหน่ง)
เราลองมาดูตัวอย่างกัน อาทิ แนะนำคนอื่นซื้อ "แอคซอน" 1ขวด ได้ "ค่าบอกต่อ" 100%ของคะแนน(PV) ซึ่งเท่ากับ 150 บาท แล้วยังได้คะแนนไปคำนวณโบนัสอีก 150 PV(คะแนน) แต่ถ้าเน้นเอาไปขายปลีกจะได้แค่กำไรขายปลีกอย่างเดียวคือ 200บาทแค่นั้น (แต่ต้องขายปลีกราคา 900 บาท) แต่ระบบบอกต่อ ผู้บริโภคจะซื้อ"แอคซอน"ได้ในราคาแค่ 700บาทเท่านั้น(ราคาสมาชิก) ซึ่งถูกกว่าซื้อราคาปลีก900บาท และยังจะมีรายได้จาก"ค่าบอกต่อ"อีกถึง 150 บาท จากการที่บริษัทจ่ายให้ และคนที่ซื้อสินค้าไปใช้ก็ยังได้ราคาสินค้าที่ถูกลง(แต่ต้องสมัครเป็นสมาชิก) เมื่อเขาเป็นสมาชิก เขาก็ช่วยเรา"บอกต่อ" ของดีที่เขาใช้ได้ผล "ของดี"เราต้องช่วยกันขยัน"บอกต่อ" เราขยันบอกต่อมากเราก็ได้"ค่าบอกต่อ"มาก โดยที่เราไม่ต้องไปเดิน"ขายสินค้า" เพียงนำพา"ผลงาน"จริงไปบอกต่อและคอยเป็นพี่เลี้ยงเขาเท่านั้น
"การบอกต่อ" เริ่มต้นคือ..การชวนคนมาซื้อสินค้าใช้ "ไม่ใช่"ชวนคนมาขายสินค้า ให้เขามาสมัครซื้อสินค้าและเอาสินค้าไปใช้ให้ได้ผลดี เห็นผลอันอัศจรรย์ แล้วก็ชวนกันมาดูมาศึกษาจนชอบใจ แล้วชวนให้เขามา "เลียนแบบ" การใช้สินค้าแบบเราและแนะนำเขาให้ไป "บอกต่อ" เราก็รอรับรายได้ "ค่าบอกต่อ" และรอรับรายได้ทาง"เครือข่าย"รายสัปดาห์อีกทาง
หัวใจสำคัญของระบบ "การบอกต่อ" คือ..สินค้าต้องใช้ได้ผลจริง และมีผลงานอ้างอิง และโชว์ความจริงและของจริงได้ ห้าม..!! ไม่ให้ไปมีการหลอกลวง
สินค้าที่ใช้ทางการเกษตรที่"ใช่"และ"ถูกต้อง" ได้ผลจริง คุ้มค่าจริง เหมาะสมกับการ"บอกต่อ"มาก เพราะจะได้ไปทั่วถึงและได้ประโยชน์ต่อเกษตรกรที่จะนำไปใช้เพื่อให้ได้ผลผลิตมากเพิ่มขึ้น ได้รายได้เพิ่มขึ้นในวงกว้าง (แต่มีข้อแม้ว่า ต้องใช้ได้ผลจริง คุ้มค่าจริง ไม่มีโป้ปดมดเท็จ) ถ้าแนะนำคนซื้อไปใช้แล้วได้ผล100% เกือบทุกครั้งพลังการ"บอกต่อ"ก็จะสูง คนก็จะเกิดการเลียนแบบมากขึ้นและการซื้อใช้ก็จะสูงขึ้น สินค้าจะถูกใช้จริงเพราะดีจริง ไม่ใช่ไม่ดีแล้วไม่มีที่ไปต้องเอาไปกองทิ้งจนตีบตันและระบายไม่ทัน ที่สำคัญ..ผลการใช้สินค้าต้องไม่มีการโกหก เพราะพืชพูดไม่ได้ โกหกไม่เป็น ถ้าดีจริงก็คือดีจริง ถ้าได้ผลจริงก็คือได้ผลจริง ตรวจสอบได้จากผลผลิตและคุณภาพที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับที่เคยทำมา จึงพิสูจน์ได้ว่าคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค้า
ซึ่งตรงนี้นี่เองสินค้าเกี่ยวกับพืชจึงมีความแตกต่างจากสินค้าหมวดอื่นๆ อาทิ หมวดสุขภาพ ซึ่งให้คนกิน บางครั้งกินไม่ได้ผลแต่คนอยากได้ผลประโยชน์จึงอาจบอกว่า"ดี" ว่าได้ผล แล้วไป"บอกต่อ" กันแบบโกหกก็มี ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันอาจจะไม่ได้ผลจริงก็เป็นได้(เพราะคนเราพูดดำเป็นขาวได้ คนโกหกได้) ระบบ"บอกต่อ"ก็จะสะดุด หรือไปไม่ได้ไกล เพราะมันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด หรือบางทีสินค้าสุขภาพก็อาจกินแล้วได้ผลจริง แต่พอจะไป"บอกต่อ" อาจจะตีบตันเพราะคนเราอาจชอบกินอะไรที่ไม่เหมือนกันก็มี บางคนไม่ชอบกินอาหารเสริม บางคนไม่ชอบกินวิตามิน ก็อาจไม่ซื้อกินก็เป็นได้ "การบอกต่อ"ก็อาจจะสะดุด และหยุดลงในช่วงใดช่วงหนึ่งซึ่งก็เคยเห็นและเป็นมาแล้ว หรือว่าบางกรณี.."กินดี กินแล้วหายโรคร้ายบรรเทา" ก็เลยหยุดกินก็มี บอกว่าร่างกายดีแล้ว ระบบ"บอกต่อ"ก็สะดุดได้เช่นกัน
ระบบ"บอกต่อ"สินค้าต้องถูกใช้จริง และมี"ผลงาน"ออกมาดีจริง เห็นผลอันน่าอัศจรรย์ จนชวนกันมาดูได้มากๆ ยิ่งดี ยิ่งใช้ยิ่งได้ผลจนคนใช้กันมากๆ ปริมาณการใช้สินค้าก็เพิ่มขึ้น การ"บอกต่อ"ก็จะมากขึ้น "เครือข่ายผู้ใช้"ก็จะเกิดมากขึ้น รายได้จากโบนัสเครือข่ายก็จะมากขึ้นตามมา(ตามระบบที่วางไว้ เพราะเราต่อสายงานให้ในระบบSemi-AutoRun)
ระบบ"บอกต่อ" มันจะไปไม่ได้มีทางเดียวคือ"สินค้า"มันไม่ดีจริง ดีเพราะคำโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น มันไม่ได้ของจริง ระบบ"บอกต่อ"มันจะเดินต่อไปได้ไม่ตลอด อาจไปได้เฉพาะช่วงแรกๆเท่านั้นแต่มันไม่ยั่งยืนอย่างแน่นอน สินค้าที่"ไม่ใช่" อาจโกหกคนได้ แต่โกหกพืชไม่ได้อย่างแน่นอน

ระบบ"บอกต่อ" สามารถทำได้หลายวิธี อาทิ
1) การพาไปชมงานที่โชว์ผลงานถึงแปลงหรือสวนที่ใช้สินค้าได้ผล อาทิ ในวันขุดมัน วันเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น..ก็ใช่!!
2) การพาไปดูแปลงปลูกจริง ที่มีการใช้สินค้าจริงและมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นผลแตกต่างจริง(เมื่อเปรียบเทียบกับแปลงอื่นๆที่ไม่ได้ใช้)..ก็ใช่!!
3) การออกบรรยายหรือ House Meeting กลุ่มเล็กๆ ทุกวัน อาทิ การเปิดแฟ้ม..ก็ใช่!!
4) การไปสาธิตจริงและบรรยาย&แนะนำจริงในแปลงปลูกจริง (Field Meeting) อาทิ แช่ท่อนพันธุ์ การถากต้นยาง..ก็ใช่!!
5) การออกบูธ เพื่อโชว์ผลงานและแนะนำสินค้า ในงานต่างๆ..ก็ใช่!!
6) การประชุมเพื่อบรรยายฉายPower PointหรือฉายVDO ผลงานที่ผ่านมา..ก็ใช่!!
7) การโฆษณาและประชาสัมพันธ์แสดงผลงานผ่านโลกโซเชียล(Social Network) อาทิ เฟซบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ อินสตราแกรม ฯลฯ..ก็ใช่!!
8) การแจกเอกสาร ใบโบรชัวร์ แผ่นซีดี ผลงานผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่ง อาทิ ไดเร็คเมล หรือเดินแจกในสถานที่ชุมชน อาทิ ตลาดสด งานวัด งานประจำปี..ก็ใช่!!
9) การแจกตัวอย่างสินค้าให้ไปทดลองใช้แล้วตามไปหาเพื่อติดตามไปสอนธุรกิจ..ก็ใช่!!
นี่เป็น..แนวทางเบื้องต้นในการ"บอกต่อ" ที่สำคัญต้องมี"ผลงาน"จริงกล่าวอ้างได้ อาจจะเป็นแปลงปลูกจริง เป็นแปลงหรือสวนของเราหรืออ้างอิงสวนคนอื่นที่ใช้จริงได้ผลจริงยืนยันให้เขาเชื่อถือก็ได้ และต่อไปก็จะเป็น"เครือข่ายโชว์ผลงาน"กันไปเรื่อยๆแบบ"ปากต่อปาก"จนเกิด"เครือข่ายผู้ใช้"ต่อไปก็จะเกิด"เครือข่ายบอกต่อ"ไปเรื่อยๆ
ส่วนใครจะมีวิธีนอกเหนือจากนี้ก็ได้ ไม่มีผิด ต้องไปคิดกันเอาเอง ถ้าคิดว่าสามารถทำให้คนนำสินค้าไปใช้ได้จริง ใช้แล้วได้ผลจริง มีผลงานมาแสดงเป็นตัวอย่างจริง ชวนคนมาดูมาฟังจริง ใช้วิธีใดก็ได้ให้คนมาช่วยกัน"บอกต่อ"
"ผลงานเปิด ปากเปิด ธุรกิจเปิด รายได้เปิด"
นี่คือ..หัวใจสำคัญของระบบ"บอกต่อ"
แบบ"ปากต่อปาก"(ORG-Viral Achievement Marketing)
ในส่วนของบริษัทเองก็เริ่มต้นระบบ"บอกต่อ"ผลงานสินค้าด้วยการทำงานผ่านทางโลกโซเชียล ด้วยการนำเสนอผลงานสินค้าในหน้าFacebook , Line , Twitter , Website ,  Blogspot , YouTube และอื่นๆและตอนนี้มุ่งเน้นการแจก"ตัวอย่างสินค้า" ให้ไปใช้จริง เมื่อเขาเอาไปใช้จริง ได้ผลจริง เขาก็จะมาบอกต่อคนอื่นๆในโลกโซเชียลเช่นเดียวกับเขา ยิ่งเขามีผลประโยชน์2ทางหลักๆแล้วด้วย( ค่าบอกต่อกับค่าโบนัสเครือข่าย(แบบต่อสายงานAutoRun) เขาย่อมอยากบอกต่อเพราะนิสัยพื้นฐานของคนไทยเราแล้ว จริงๆคือชอบ"ขี้อวด"คือชอบอวดอยู่แล้วถ้ามีของดี แต่กรณีที่ไม่อวดผลงานของพืชที่ใช้แล้วได้ผลดีก็เพราะกลัวมีคนมาเป็นคู่แข่ง แต่ถ้าเราจัดแบ่งระบบผลประโยชน์ดีๆได้ถูกต้องและลงตัว ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีใครไป"บอกต่อ"กัน
"วันนี้..คุณสร้างเครือข่าย
วันข้างหน้า..เครือข่ายจะสร้างรายได้ ให้คุณ"


หัวใจสำคัญของระบบ "การบอกต่อ" คือ..สินค้าต้องใช้ได้ผลจริง และมีผลงานอ้างอิง และโชว์ความจริงและของจริงได้ ห้าม..!! ไม่ให้ไปมีการหลอกลวง
สินค้าที่ใช้ทางการเกษตรที่"ใช่"และ"ถูกต้อง" ได้ผลจริง คุ้มค่าจริง เหมาะสมกับการ"บอกต่อ"มาก เพราะจะได้ไปทั่วถึงและได้ประโยชน์ต่อเกษตรกรที่จะนำไปใช้เพื่อให้ได้ผลผลิตมากเพิ่มขึ้น ได้รายได้เพิ่มขึ้นในวงกว้าง (แต่มีข้อแม้ว่า ต้องใช้ได้ผลจริง คุ้มค่าจริง ไม่มีโป้ปดมดเท็จ) ถ้าแนะนำคนซื้อไปใช้แล้วได้ผล100% เกือบทุกครั้งพลังการ"บอกต่อ"ก็จะสูง คนก็จะเกิดการเลียนแบบมากขึ้นและการซื้อใช้ก็จะสูงขึ้น สินค้าจะถูกใช้จริงเพราะดีจริง ไม่ใช่ไม่ดีแล้วไม่มีที่ไปต้องเอาไปกองทิ้งจนตีบตันและระบายไม่ทัน ที่สำคัญ..ผลการใช้สินค้าต้องไม่มีการโกหก เพราะพืชพูดไม่ได้ โกหกไม่เป็น ถ้าดีจริงก็คือดีจริง ถ้าได้ผลจริงก็คือได้ผลจริง ตรวจสอบได้จากผลผลิตและคุณภาพที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับที่เคยทำมา จึงพิสูจน์ได้ว่าคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค้า
ซึ่งตรงนี้นี่เองสินค้าเกี่ยวกับพืชจึงมีความแตกต่างจากสินค้าหมวดอื่นๆ อาทิ หมวดสุขภาพ ซึ่งให้คนกิน บางครั้งกินไม่ได้ผลแต่คนอยากได้ผลประโยชน์จึงอาจบอกว่า"ดี" ว่าได้ผล แล้วไป"บอกต่อ" กันแบบโกหกก็มี ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันอาจจะไม่ได้ผลจริงก็เป็นได้(เพราะคนเราพูดดำเป็นขาวได้ คนโกหกได้) ระบบ"บอกต่อ"ก็จะสะดุด หรือไปไม่ได้ไกล เพราะมันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด หรือบางทีสินค้าสุขภาพก็อาจกินแล้วได้ผลจริง แต่พอจะไป"บอกต่อ" อาจจะตีบตันเพราะคนเราอาจชอบกินอะไรที่ไม่เหมือนกันก็มี บางคนไม่ชอบกินอาหารเสริม บางคนไม่ชอบกินวิตามิน ก็อาจไม่ซื้อกินก็เป็นได้ "การบอกต่อ"ก็อาจจะสะดุด และหยุดลงในช่วงใดช่วงหนึ่งซึ่งก็เคยเห็นและเป็นมาแล้ว หรือว่าบางกรณี.."กินดี กินแล้วหายโรคร้ายบรรเทา" ก็เลยหยุดกินก็มี บอกว่าร่างกายดีแล้ว ระบบ"บอกต่อ"ก็สะดุดได้เช่นกัน
ระบบ"บอกต่อ"สินค้าต้องถูกใช้จริง และมี"ผลงาน"ออกมาดีจริง เห็นผลอันน่าอัศจรรย์ จนชวนกันมาดูได้มากๆ ยิ่งดี ยิ่งใช้ยิ่งได้ผลจนคนใช้กันมากๆ ปริมาณการใช้สินค้าก็เพิ่มขึ้น การ"บอกต่อ"ก็จะมากขึ้น "เครือข่ายผู้ใช้"ก็จะเกิดมากขึ้น รายได้จากโบนัสเครือข่ายก็จะมากขึ้นตามมา(ตามระบบที่วางไว้ เพราะเราต่อสายงานให้ในระบบSemi-AutoRun)
ระบบ"บอกต่อ" มันจะไปไม่ได้มีทางเดียวคือ"สินค้า"มันไม่ดีจริง ดีเพราะคำโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น มันไม่ได้ของจริง ระบบ"บอกต่อ"มันจะเดินต่อไปได้ไม่ตลอด อาจไปได้เฉพาะช่วงแรกๆเท่านั้นแต่มันไม่ยั่งยืนอย่างแน่นอน สินค้าที่"ไม่ใช่" อาจโกหกคนได้ แต่โกหกพืชไม่ได้อย่างแน่นอน
ระบบ"บอกต่อ" สามารถทำได้หลายวิธี อาทิ
1) การพาไปชมงานที่โชว์ผลงานถึงแปลงหรือสวนที่ใช้สินค้าได้ผล อาทิ ในวันขุดมัน วันเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น..ก็ใช่!!
2) การพาไปดูแปลงปลูกจริง ที่มีการใช้สินค้าจริงและมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นผลแตกต่างจริง(เมื่อเปรียบเทียบกับแปลงอื่นๆที่ไม่ได้ใช้)..ก็ใช่!!
3) การออกบรรยายหรือ House Meeting กลุ่มเล็กๆ ทุกวัน อาทิ การเปิดแฟ้ม..ก็ใช่!!
4) การไปสาธิตจริงและบรรยาย&แนะนำจริงในแปลงปลูกจริง (Field Meeting) อาทิ แช่ท่อนพันธุ์ การถากต้นยาง..ก็ใช่!!
5) การออกบูธ เพื่อโชว์ผลงานและแนะนำสินค้า ในงานต่างๆ..ก็ใช่!!
6) การประชุมเพื่อบรรยายฉายPower PointหรือฉายVDO ผลงานที่ผ่านมา..ก็ใช่!!
7) การโฆษณาและประชาสัมพันธ์แสดงผลงานผ่านโลกโซเชียล(Social Network) อาทิ เฟซบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ อินสตราแกรม ฯลฯ..ก็ใช่!!
8) การแจกเอกสาร ใบโบรชัวร์ แผ่นซีดี ผลงานผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่ง อาทิ ไดเร็คเมล หรือเดินแจกในสถานที่ชุมชน อาทิ ตลาดสด งานวัด งานประจำปี..ก็ใช่!!
9) การแจกตัวอย่างสินค้าให้ไปทดลองใช้แล้วตามไปหาเพื่อติดตามไปสอนธุรกิจ..ก็ใช่!!
นี่เป็น..แนวทางเบื้องต้นในการ"บอกต่อ" ที่สำคัญต้องมี"ผลงาน"จริงกล่าวอ้างได้ อาจจะเป็นแปลงปลูกจริง เป็นแปลงหรือสวนของเราหรืออ้างอิงสวนคนอื่นที่ใช้จริงได้ผลจริงยืนยันให้เขาเชื่อถือก็ได้ และต่อไปก็จะเป็น"เครือข่ายโชว์ผลงาน"กันไปเรื่อยๆแบบ"ปากต่อปาก"จนเกิด"เครือข่ายผู้ใช้"ต่อไปก็จะเกิด"เครือข่ายบอกต่อ"ไปเรื่อยๆ
ส่วนใครจะมีวิธีนอกเหนือจากนี้ก็ได้ ไม่มีผิด ต้องไปคิดกันเอาเอง ถ้าคิดว่าสามารถทำให้คนนำสินค้าไปใช้ได้จริง ใช้แล้วได้ผลจริง มีผลงานมาแสดงเป็นตัวอย่างจริง ชวนคนมาดูมาฟังจริง ใช้วิธีใดก็ได้ให้คนมาช่วยกัน"บอกต่อ"
"ผลงานเปิด ปากเปิด ธุรกิจเปิด รายได้เปิด"

นี่คือ..หัวใจสำคัญของระบบ"บอกต่อ"
แบบ"ปากต่อปาก"(ORG-Viral Achievement Marketing)
ในส่วนของบริษัทเองก็เริ่มต้นระบบ"บอกต่อ"ผลงานสินค้าด้วยการทำงานผ่านทางโลกโซเชียล ด้วยการนำเสนอผลงานสินค้าในหน้าFacebook , Line , Twitter , Website ,  Blogspot , YouTube และอื่นๆและตอนนี้มุ่งเน้นการแจก"ตัวอย่างสินค้า" ให้ไปใช้จริง เมื่อเขาเอาไปใช้จริง ได้ผลจริง เขาก็จะมาบอกต่อคนอื่นๆต่อไป
บอกต่อๆกันไป แล้วได้ค่า"บอกต่อ" 2 ทางที่วางไว้

"วันนี้..คุณสร้างเครือข่าย
วันข้างหน้า..เครือข่ายจะสร้างรายได้ ให้คุณ"

084-880-9595
www.organellelife.com
www.facebook.com/organellelife.org
Line ID:organellelife

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น