วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ต้อนรับเพื่อนบ้าน AEC ที่อยากเรียนรู้ เรื่อง การปลูกมันสำปะหลัง โดยใช้องค์ความรู้ใหม่ๆ



ต้อนรับเพื่อนบ้าน AEC ที่ซื้อสินค้าไปใช้และอยากได้ความรู้ตลอดจนสอบถามมาเรื่อง การปลูกมันสำปะหลัง โดยใช้องค์ความรู้ใหม่ๆ
สำหรับผู้สนใจหลายๆท่านจากประเทศเพื่อนบ้านเราอย่าง สปป.ลาว หรือประเทศกัมพูชา ที่มีทั้งนักศึกษาที่ประชาชนทั่วไปที่ปลูกมันสำปะหลัง ที่มาซื้อสินค้าและได้ติดต่อสอบถามมายังบริษัทว่า อยากได้เอกสารต่างๆที่เป็นภาษาของเขาเพื่อเอาไปสื่อสารเพื่อนบ้านของเขาได้ อีกทั้งยังอยากได้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทั้งที่ใช้กับมันสำปะหลังและพืชอื่นๆ เพื่อเอาไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับการเพิ่มผลผลิตของเขา 
ก็.."จัดไป"..ครับท่าน
"ดก..ไว้ก่อน พ่อสอนไว้"
มัน 10 ตันต่อไร่ ต้องหาอะไรที่ "ใช่" มาพัฒนา
ต้องหา "องค์ความรู้" ใหม่ๆ ที่ "ใช่" มาใช้พัฒนา
ต้องหา "นวัตกรรม" ใหม่ๆ ที่ "ใช่" มาใช้พัฒนา





บางส่วนของกระบวนการทาง Biological และ Biochemical ของ
มันสำปะหลัง
กระบวนการ "ลงหัว" (Tuberization)
ในภาวะดินฟ้าอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป 
จนเกิด"ภาวะวิกฤติโลก"(Global Warming)..
สำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งคนและพืช
กระบวนการทำงานต่างๆภายในของพืช ก็เกิด"วิปริต"ตามมา กลไกทำงานได้ไม่สมบูรณ์ กลไกบางอย่างเกิดการสะดุดหรือบกพร่อง ต้องหาทางช่วยเหลือ เพราะขืนปล่อยไปมันจะเป็นสาเหตุทำให้ผลผลิตของพืชไม่สมบูรณ์และตกต่ำตามมา ไม่ว่าจะน้ำหนักหรือคุณภาพ 
เพราะว่าหน้าที่ของเซลล์บางอย่างของพืชทำงานผิดปกติไป  โดยเฉพาะในพืชมันสำปะหลัง อาทิตั้งแต่...

(1) กระบวนการสร้างเซลล์ระบบ "รากสะสมอาหาร"( Tuberous Root) ผิดปกติ ได้รากสะสมอาหารที่น้อย ไม่สมบูรณ์ โอกาสที่จะมีหัวมันจึงน้อยลงไป

(2) กระบวนการ"ลงหัว" (Tuberization) ไม่สมบูรณ์ การลงหัวไม่ดี มีหัวที่ไม่ได้รูปทรงและ หัวเจริญเติบโตช้า หัวไม่ใหญ่ หัวไม่สม่ำเสมอ เปอร์เซนต์แป้งต่ำ ไม่มีน้ำหนัก

กระบวนการ "ลงหัว" (Tuberization) ที่สมบูรณ์ หัวมันต้องได้รูปทรงดี หัวมีความสม่ำเสมอ ขนาดหัวใกล้เคียงกัน จำนวนหัวมากพอ หัวเจริญเติบโตเร็ว ใหญ่เร็ว หัวใหญ่ได้ขนาดสม่ำเสมอเท่าๆกัน เปอร์เซนต์แป้งดี หัวมันมีน้ำหนักมาก (เห็นการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการ "Tuberization" ตั้งแต่ 4 เดือน เป็นต้นไป)
ปัญหาเหล่านี้มีให้พบเห็นจนชินตา แต่ทว่า..ใครจะหาทางออกแบบใดและอย่างไร ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าใครจะเข้าใจปัญหาแบบใด และเข้าใจว่าปัญหามันมาจากสาเหตุใด
จึงนับว่า..เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับเกษตรกรไทย

"ออร์กาเนลไลฟ์"..ใส่ใจในรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงของพืชและของโลก จึงขอศึกษาปัญหาต่างๆบางอย่างเหล่านี้


มันสำปะหลังทุกพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ใดๆก็ตามทีโดยปกติเขาก็พร้อมที่จะ"ดก"ได้ทุกพันธุ์อยู่แล้ว ถ้าหากกระบวนการทำงานภายในต่างๆทุกกระบวนการของเขาไม่ว่าจะกระบวนการทาง Biological, Biochemical ดำเนินการไปได้เป็นปกติ อาทิ กระบวนการสังเคราะห์แสง,กระบวนการสร้างฮอร์โมนต่างๆ,กระบวนการลงหัว (Tuberization) ถ้ากระบวนการต่างๆมันสมบูรณ์และไม่บกพร่องมันต้องดกได้ แต่ในภาวะที่ดินฟ้าอากาศอย่างเช่นในปัจจุบันมันวิปริตมันเลยวิกฤตและมีปัญหาตามมาจนพืชปรับตัวไม่ทัน
และอีกเช่นกัน..เกือบทุกพันธุ์มันก็พร้อมที่จะ"ไม่ดก"ได้ ถ้าหากกระบวนการทำงานภายในต่างๆทุกกระบวนการที่กล่าวมาข้างต้นของมันเกิดไม่สมบูรณ์หรือบกพร่องขึ้นมาในภาวะที่ดินฟ้าอากาศวิปริตเช่นในปัจจุบันกระบวนการทำงานของมันก็อาจจะสะดุด ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญกับ"ระบบและกระบวนการทำงานต่างๆภายในของพืช"เป็นสำคัญ ที่อาจต้องสัมพันธ์กับปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่างๆด้านดินฟ้าอากาศที่เป็นตัวแปรและเกี่ยวข้อง อันอาจจะทำให้พืชปรับตัวได้ไม่สมบูรณ์ จนทำให้เกิดปัญหาในด้านกลไกการทำงานของกระบวนการต่างๆที่บกพร่องตามมาเพียงเพราะว่าอาจขาด"สารสำคัญ"ที่จำเป็นบางตัวหรือหลายๆตัวไปก็เป็นได้
ถ้าเราเข้าใจระบบการจัดการและเข้าใจกระบวนการทำงานต่างๆในหลายๆกระบวนการของมันสำปะหลัง และพยายามทำให้สมบูรณ์ครบถ้วนและบกพร่องน้อยที่สุด เราก็สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดและปัญหาก็จะหมดไป ดังนั้นเรื่องพันธุ์มันเราจึงให้ความสำคัญตรงที่เราควรเลือกพันธุ์ที่มีความบริสุทธิ์มากที่สุด มีจุดด้อยหรือความอ่อนแอหรือมีความแปรปรวนในสายพันธุ์ให้น้อยที่สุดและที่สำคัญมันจะต้องเหมาะสมกับชนิดของดินที่ปลูกของเราให้มากที่สุดก็จะดีที่สุดครับ(ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ)



 ภาคผนวก: กระบวนการ "TUBERIZATION" 
เป็นกระบวนการที่เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์เนื้อเยื่อเจริญ (Meristem cell) ที่อยู่บริเวณปลายรากของมันสำปะหลังเมื่อมันได้รับสารบางตัวใน "แอคซอน" (AXZON) ซึ่งเป็นเสมือนฮอร์โมนที่จำเป็นที่ทำให้เซลล์ดังกล่าวก็จะขยายตัว (Cell Enlargement) เพื่อรองรับการสะสมแป้งและโปรตีนอีกทั้งเซลล์ก็ยังจะแบ่งตัว (Cell Division) ในแนวขวาง (Lateral Growth) และหยุดการแบ่งตัวในแนวยาว (Elongation Growth)เพื่อให้เกิดการขยายเซลล์รากให้บวมขึ้นเป็นหัว (Tuber) และเปลี่ยนหน้าที่เซลล์ (Cell Differentiate) เพื่อทำให้ Stolon หรือ Root เปลี่ยนมาทำหน้าที่สะสมอาหารแทน
การลงหัว (Tuberization) จะดีขึ้นและหัวมีขนาดใหญ่ขึ้นยังขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในต้นมันสำปะหลังด้วย ดังนั้นการสังเคราะห์แสง(Photosynthesis) ที่ดีและสมบูรณ์จะช่วยให้การลงหัวดีและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น  ดังนั้นการที่เราอาจจะเลียนแบบธรรมชาติโดยการไม่ต้องพึ่งพาการสังเคราะห์แสงแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีการเลียนแบบธรรมชาติโดยการให้น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวตัวเดียวกันกับที่พืชสังเคราะห์แสงได้ป้อนให้กับมันสำปะหลังด้วยก็จะช่วยให้มีการลงหัวที่ดีขึ้นและสุดยอดขึ้น ดังนั้นการใช้ "ซูการ์-ไฮเวย์"(ZUKAR-Highway) ร่วม ด้วยจึงมีความจำเป็น
นี่คือ..คำตอบ ในการพัฒนาผลผลิตพืชลงหัวในยุคใหม่แห่งโลกอนาคตทางการเกษตร



“Photoperiod”
ในธรรมชาติ “Photoperiod”: หรือระยะเวลาที่พืชได้รับแสงต่อวันและอุณหภูมิจะมีผลต่อการลงหัวของพืชตระกูลที่มีการลงหัว  เมื่อช่วงเวลารับแสงเหมาะสม และอุณหภูมิที่ลดต่ำลงพืชจะสังเคราะห์ “Jasmonic acid” (JA) ที่ใบและหลังจากนั้นก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปยังลำต้นที่ทอดเป็นแนวราบไปตามดิน (Stolon) หรือราก (Root) จนทำให้เกิดหัวเป็นแนวรัศมี
(Radial Growth) เป็นจำนวนมาก 
“การลงหัว” : เกิดจากการเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์ที่เซลล์เนื้อเยื่อเจริญ (Subapical meristem cell) ที่อยู่บริเวณปลายรากและปลายยอดของพืช
หลังจากได้รับ JA  ในปริมาณที่เหมาะสม  ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่โครงสร้างเซลล์ดังนี้
1. Cell Enlargement (การขยายตัวของเซลล์)
: เซลล์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับการสะสมแป้งและโปรตีน

2. Cell Division (การแบ่งตัวของเซลล์)
: เซลล์เริ่มแบ่งตัวในแนวขวาง (Lateral) และหยุดแบ่งตัวในแนวยาว (Elongation) ทำให้เกิดลักษณะบวมขึ้นเป็น “หัว”

3. Cell Differentiation (การเปลี่ยนสภาพและหน้าที่)
: ทำให้เกิดการเปลี่ยน Stolon หรือ Root ไปทำหน้าที่ให้เหมาะสม สะสมอาหารและเซลล์ท่อลำเลียง (Vehicle tube Cell) ก็เปลี่ยนสภาพเพื่อทำให้การลำเลียงอาหารมาสะสมที่หัวอย่างมีประสิทธิภาพ,สะดวกและง่ายขึ้น อาหารถูกสะสมได้มากขึ้นที่หัวการสังเคราะห์แสงเพื่อให้ได้ปริมาณระดับน้ำตาลที่สูงจะช่วยให้การลงหัวดีและมีขนาดใหญ่ขึ้น







www.organellelife.com
www.organellelife-vdo.com
www.facebook.com/organellelife.org
Line ID:organellelife





มันสำปะหลัง เป็นพืชเศรษฐกิจ ที่สำคัญ ที่สุดพืชหนึ่งของไทย ที่ผ่านมา มีการวิจัย และพัฒนาเกี่ยวกับมันสำปะหลัง อย่างกว้างขวาง จนทำให้ไทยเป็นประเทศแนวหน้าในวงการอุตสาหกรรม ที่เกี่ยวกับมันสำปะหลัง มีหลายคนบอกว่า อนาคต มันสำปะหลังจะกลายเป็นบ่อน้ำมันบนดินของประเทศไทย แต่ถ้าหันมามองเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ไม่ค่อยมีทุน ทำให้ได้ผลผลิตที่ต่ำเฉลี่ยเพียงแค่ 3-4 ตันต่อไร่เท่านั้น

ดังนั้นจึงเกิดแนวทางการปลูกมันสำปะหลังแนวทางใหม่ขึ้นมา เพื่อการผลิตมันสำปะหลังให้ได้มากกว่า 10-20 ตันต่อไร่ ในต้นทุนที่ต่ำ กับค่าใช้จ่ายที่เกษตรกรสามารถเลือกลงทุนได้เองกับปัจจัยการผลิตต่างๆที่ไม่มีใครบังคับ เพราะทุกอย่างเป็นทางเลือก และเราได้คัดปัจจัยมานำเสนอในส่วนที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อพืชจริงๆ และตรงกับประเด็นปัญหาของมันสำปะหลังในยุคปัจจุบันมากที่สุด





“1 พื้นฐาน 3 กระบวนการ” ที่สำคัญกับการปลูกมันสำปะหลัง

1 พื้นฐาน คือ “ดิน” ดินควรมีการปรับปรุง บำรุงดินให้ดินมีชีวิต (ไม่ใช่ดินตาย) ดินที่มีอินทรียวัตถุมากเพียงพอ ดินที่มีโครงสร้างที่ดี ไม่แน่นทึบ โปร่งร่วนซุย ระบายน้ำและอากาศได้ดี และมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ที่มากพอ เพื่อการย่อยสลายอินทรียวัตถุในดิน

3 กระบวนการ คือ

1. กระบวนการ “สั่งราก” (Root Cell Revitalization) รากที่ดีต้องเป็น “รากสะสมอาหาร” หรือที่เราเรียกว่า “Tuburous Root” 



2. กระบวนการ “สั่งลงหัว” (Tuberization) โดยเปลี่ยนรากให้เป็นหัว เป็นกระบวนการที่เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์เนื้อเยื่อเจริญ จะแบ่งตัวในแนวขวาง และหยุดการแบ่งตัวในแนวยาว เพื่อให้เกิดการขยายเซลล์รากให้บวมขึ้นเป็นหัว


3. กระบวนการ “สั่งแป้ง” (Starch Biosynthesis) เพิ่มปริมาณแป้งและโปรตีนให้สูงขึ้น มีน้ำหนักมากขึ้น ได้เปอร์เซ็นต์แป้งสูง 





ขั้นตอนง่าย ๆ ในการปลูกมันสำปะหลังให้ได้ 10 ตันต่อไร่ ขึ้นไป

1. ขั้นตอนการเตรียมดิน ให้หว่าน "ซอยล์แอสท์" ไร่ละ 50-100 กก หลังจากไถขึ้นแปลงแล้ว ให้ใช้รถไถใหญ่ใช้ผาน 2 หรือผาน 3 ไถดะ ตากดินไว้ 7 วัน ใช้ระยะปลูกระหว่างแถว 120 ซม. ระหว่างต้น 80-100 ซม.

2. ขั้นตอนเตรียมต้นพันธุ์ จะใช้ต้นพันธุ์ประมาณไร่ละ 200 ต้น ให้ตัดต้นพันธุ์ ยาว 20 เซนติเมตร ต้นพันธุ์ 1 ต้น จะตัดได้ 10 ท่อน

3. ขั้นตอนการแช่ท่อนพันธุ์ หรือ กระบวนการ “สั่งราก” เพื่อช่วยในการแตกเซลล์ราก และป้องกันเพลี้ย ขั้นตอนนี้สำคัญมาก เพราะมันสำปะหลัง รากคือหัว หัวคือราก ฉะนั้นหากเราอยาก ได้หัวมากๆ หัวดก ๆ เราก็ต้องทำให้ท่อนพันธุ์มัน มีรากออกมามากที่สุดอย่างน้อยหลายร้อยราก ก่อนปลูกควรแช่ท่อนพันธ์ด้วย ซาร์คอน อัตรา 20 ซีซี ผสม ซอยล์ไลฟ์ อัตรา 25 กรัม ผสม ออร์ซ่า อัตรา 4 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร แช่ไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง นำออกผึ่งไว้ในที่ร่ม

4. ขั้นตอนการปลูก ให้ปลูกระยะ 80 เซนติเมตรปักต้นมันให้ลึก 10 เซนติเมตรหรือครึ่งหนึ่งของท่อนพันธุ์ ปักลงไปตรง ๆ แล้วผลักให้ล้มเสมอดินหลังจากปลูกเสร็จให้ผสม ซอยล์ไลฟ์ 25 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นลงดินให้ทั่ว

5. ขั้นตอนการให้ปุ๋ยทางใบ เพื่อ"กระตุ้นแตกราก กระชากแตกใบ" เมื่อปลูกได้ 7-14 วัน ให้ฉีดพ่น ไบโอเจ็ท อัตรา 10 กรัม ซาร์คอน อัตรา 20 ซีซี และออร์ซ่า อัตรา 4 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 7 -10 วันครั้ง อย่างน้อย 3-4 ครั้ง

6. ขั้นตอนการให้ปุ๋ยทางดินรอบที่ 1 เมื่อปลูกได้ 21-25 วัน ให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์-เคมี ออร์กรีน-พลัส สูตร 12-3-3 ผสมฮอร์โมนอาหารเสริมพืช(ชนิดเม็ด) กรีนอัพ อัตรา 25 กก.+ 25 กก. และฉีดพ่นที่ดินด้วย ซอยล์ไลฟ์ อัตรา 25 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

7. ขั้นตอนการให้ปุ๋ยทางดินรอบที่ 2 เมื่อปลูกได้ 75-90 วันให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์-เคมี ออร์กรีน-พลัส สูตร 12-3-3 ผสมฮอร์โมนอาหารพืช(ชนิดเม็ด) กรีนอัพ อัตรา 25 กก.+ 25 กก.

8. ขั้นตอนการ “สั่งลงหัว” ขั้นตอนนี้สำคัญมาก เพื่อให้มันสำปะหลังหัวดก เมื่อปลูกได้ 75-90 วัน ฉีดพ่น แอคซอน อัตรา 20 ซีซี และออร์ซ่า อัตรา 4 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นเพียง “ครั้งเดียว” ฉีดพ่นที่ใบให้เป็นละอองฝอยทั่วทั้งแปลง

9. ขั้นตอนการขยายขนาดหัวมัน “สั่งแป้ง” หลังปลูกได้ 120-150 วัน ฉีดพ่น พาร์ทเวย์-เพาเวอร์-5 อัตรา 20 ซีซี ผสมกับ ซูการ์-ไฮเวย์ อัตรา 20 ซีซี และออร์ซ่า 4 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 10-15 วันครั้ง ฉีดได้เรื่อยๆ 3-4 ครั้ง ฉีดพ่นให้เป็นละอองฝอยทั่วทั้งแปลง

เมื่อทำครบทุกกระบวนการและครบทุกขั้นตอน รับรองผลผลิตเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10 ตันต่อไร่อย่างแน่นอน 



สอบถามข้อมูลการปลูกมันสำปะหลังด้วยนวัตกรรมใหม่ ได้ที่
 บริษัท ออร์กาเนลไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด 
โทร. 084-880-9595 , 084-369-6633 หรือ Line ID : organellelife 
หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.organellelife.com



"แอคซอน"(AXZON): กรดอินทรีย์ที่สำคัญในการทำหน้าที่ในกระบวนการ"ลงหัว"(Tuberization) ของพืช

"แอคซอน"(AXZON) : ไม่ใช่ปุ๋ยน้ำ ไม่ใช่ปุ๋ยเหลว ไม่ใช่ปุ๋ยเทวดา ไม่ใช่ฮอร์โมนนางฟ้า ไม่ใช่สารจากดาวอังคาร หรือสารนาโนใดๆทั้งสิ้น

แต่.."แอคซอน" (AXZON) เป็นกรดอินทรีย์สังเคราะห์(The Synthesis of Organic acid)ที่จำเป็นหลายๆตัวที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานในกระบวนการลงหัว Tuberization กระบวนการทางชีวเคมี (Biochemistry) ภายในเซลล์ของพืช ซึ่งใช้ในการควบคุมการทำงานของกระบวนการ "Tuberization"(ลงหัว)

แอคซอน(AXZON) คือส่วนหนึ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของ Tuberization (กระบวนการมันลงหัว)




เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง สามารถศึกษาเพื่อสร้างความเข้าใจในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของพืชในเรื่องกระบวนการทำงานต่างๆของพืชได้หรือต้องการทดสอบ"แอคซอน"(AXZON) กับกระบวนการลงหัว(Tuberization) สำหรับมันสำปะหลังของท่านได้ใช้ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ท่านค่อยตัดสินใจเอาเอง ถ้า "ใช่" ท่านก็ได้อาวุธใหม่ในการพัฒนาอาชีพปลูกมันของท่าน แต่ถ้า"ไม่ใช่"ก็คิดว่าเสียค่าวิชาเพราะต่อไปท่านจะได้ไม่พลาดอีกต่อไป แต่สำหรับเรา..เรามั่นใจว่า"ใช่" แต่ถ้าท่านเห็นว่า "ไม่ใช่" ใช้ไปแล้วไม่ได้ผลเราก็ยินดีคืนเงินให้แก่ท่านเพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาทำร้ายและเอาเปรียบท่าน เพราะเราเองมุ่งมั่นมา"เพื่อให้" ไม่ใช่มา "เพื่อรับ" แต่เพียงอย่างเดียว



สำหรับผู้สนใจหลายๆท่านจากประเทศเพื่อนบ้านเรา อย่าง สปป.ลาว ที่ติดต่อและสอบถามมายังบริษัทว่า อยากได้เอกสารต่างๆและความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทั้งกับมันสำปะหลังและพืชอื่นๆเพื่อเอาไปปรับใช้

ก็.."จัดไป"..ครับท่าน

"ดก..ไว้ก่อน พ่อสอนไว้"

มัน 10 ตันต่อไร่ ต้องหาอะไรที่ "ใช่" มาพัฒนา

ต้องหา "องค์ความรู้"ใหม่ๆ ที่ "ใช่" มาใช้พัฒนา

ต้องหา "นวัตกรรม" ใหม่ๆ ที่ "ใช่" มาใช้พัฒนา

“ດົກໄວ້ກ່ອນ ພໍ່ສອນໄວ້”

ແອກຊອນ

ຂະບວນການ “TUBERIZATION” ກັບກົນໄກ “ການລົງຫົວ” (Tuber) ເປັນຂະບວນການທີ່ເກີດການປ່ຽນແປງລະດັບຈຸລັງເນື້ອເຍື່ອຈະເລີນ (Meristem cell) ທີ່ຢູ່ບໍລິເວນປາຍຮາກຂອງມັນຕົ້ນ ເມື່ອມັນໄດ້ຮັບສານບາງຢ່າງໃນ “ແອກຊອນ” (AXZON) ເຊິ່ງປຽບເຫມືອນຮໍໂມນທີ່ຈຳເປັນທີ່ເຮັດໃຫ້ຈຸລັງດັ່ງກ່າວຂະຫຍາຍໂຕ (Cell Enlargement) ເພື່ອຮອງຮັບການສະສົມແປ້ງແລະໂປຣຕີນອີກທັງຈຸລັງກໍ່ຍັງຈະແບ່ງຕົວ (Cell Division) ໃນທາງຂວາງ (Lateral Growth) ແຫລະຫຍຸດການແບ່ງຕົວໃນແນວຍາວ (Elongation Growth) ເພື່ອໃຫ້ເກີດການຂະຫຍາຍຈຸລັງຮາກໃຫ້ບວມຂື້ນເປັນຫົສ (Tuber) ແລະປ່ຽນຫນ້າທີ່ຈຸລັງ (Cell Differentiate) ເພື່ອເຮັດໃຫ້ Stolon ຫລື Root ປ່ຽນມາເຮັດຫນ້າທີ່ສະສົມອາຫານແທນ

ອົງປະກອບທີ່ມີສ່ວນກ່ຽວຂ້ອງກັບຂະບວນການເຮັດວຽກຂອງຂະບວນການ “TUBERIZATION”




กระบวนการ "TUBERIZATION"

เป็นกระบวนการที่เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์เนื้อเยื่อเจริญ (Meristem cell) ที่อยู่บริเวณปลายรากของมันสำปะหลังเมื่อมันได้รับสารบางตัวใน "แอคซอน" (AXZON) ซึ่งเป็นเสมือนฮอร์โมนที่จำเป็นที่ทำให้เซลล์ดังกล่าวก็จะขยายตัว (Cell Enlargement) เพื่อรองรับการสะสมแป้งและโปรตีนอีกทั้งเซลล์ก็ยังจะแบ่งตัว (Cell Division) ในแนวขวาง (Lateral Growth) และหยุดการแบ่งตัวในแนวยาว (Elongation Growth)เพื่อให้เกิดการขยายเซลล์รากให้บวม

ขึ้นเป็นหัว (Tuber) และเปลี่ยนหน้าที่เซลล์ (Cell Differentiate) เพื่อทำให้ Stolon หรือ Root เปลี่ยนมาทำหน้าที่สะสมอาหารแทน

การลงหัว (Tuberization) จะดีขึ้นและหัวมีขนาดใหญ่ขึ้นยังขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในต้นมันสำปะหลังด้วย ดังนั้นการสังเคราะห์แสง(Photosynthesis) ที่ดีและสมบูรณ์จะช่วยให้การลงหัวดีและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นการที่เราอาจจะเลียนแบบธรรมชาติโดยการไม่ต้องพึ่งพาการสังเคราะห์แสงแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีการเลียนแบบธรรมชาติโดยการให้น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวตัวเดียวกันกับที่พืชสังเคราะห์แสงได้ป้อนให้กับมันสำปะหลังด้วยก็จะช่วยให้มีการลงหัวที่ดีขึ้นและสุดยอดขึ้น ดังนั้นการใช้ "ซูการ์-ไฮเวย์"(ZUKAR-Highway) ร่วม ด้วยจึงมีความจำเป็น

นี่คือ..คำตอบ ในการพัฒนาผลผลิตพืชลงหัวในยุคใหม่แห่งโลกอนาคตทางการเกษตร

“Photoperiod”

ในธรรมชาติ “Photoperiod”: หรือระยะเวลาที่พืชได้รับแสงต่อวันและอุณหภูมิจะมีผลต่อการลงหัวของพืชตระกูลที่มีการลงหัว เมื่อช่วงเวลารับแสงเหมาะสม และอุณหภูมิที่ลดต่ำลงพืชจะสังเคราะห์ “Jasmonic acid” (JA) ที่ใบและหลังจากนั้นก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปยังลำต้นที่ทอดเป็นแนวราบไปตามดิน (Stolon) หรือราก (Root) จนทำให้เกิดหัวเป็นแนวรัศมี

(Radial Growth) เป็นจำนวนมาก

“การลงหัว” : เกิดจากการเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์ที่เซลล์เนื้อเยื่อเจริญ (Subapical meristem cell) ที่อยู่บริเวณปลายรากและปลายยอดของพืช

หลังจากได้รับ JA ในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่โครงสร้างเซลล์ดังนี้

1. Cell Enlargement (การขยายตัวของเซลล์)

: เซลล์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับการสะสมแป้งและโปรตีน

2. Cell Division (การแบ่งตัวของเซลล์)

: เซลล์เริ่มแบ่งตัวในแนวขวาง (Lateral) และหยุดแบ่งตัวในแนวยาว (Elongation) ทำให้เกิดลักษณะบวมขึ้นเป็น “หัว”

3. Cell Differentiation (การเปลี่ยนสภาพและหน้าที่)

: ทำให้เกิดการเปลี่ยน Stolon หรือ Root ไปทำหน้าที่ให้เหมาะสม สะสมอาหารและเซลล์ท่อลำเลียง (Vehicle tube Cell) ก็เปลี่ยนสภาพเพื่อทำให้การลำเลียงอาหารมาสะสมที่หัวอย่างมีประสิทธิภาพ,สะดวกและง่ายขึ้น อาหารถูกสะสมได้มากขึ้นที่หัวการสังเคราะห์แสงเพื่อให้ได้ปริมาณระดับน้ำตาลที่สูงจะช่วยให้การลงหัวดีและมีขนาดใหญ่ขึ้น




ປູກ…

ມັນຕົ້ນ

10 ໂຕນ/ໄຮ່

ບໍ່ແມ່ນເລື່ອງ ຍາກອີກຕໍ່ໄປ

ສັ່ງສ້າງ “ຮາກສະສົມອາຫານ” (Tuberous root)

“ສັ່ງລົງຫົວ” ໃນຂະບວນການ “TUBERIZATION”

ສັ່ງສ້າງແປ້ງ ໃນຂະບວນການ “Starch Synthesis”

Hotline: ສາຍດ່ວນມັນຫົວດົກ 804-880-9595

Line ID: organellelife








ກຽມດິນ: ໄຖຂື້ນຫນານໄລຍະປູກ 1.20 x 0.80 ແມັດ

ຫວ່ານ “ຊອຍສ໌ແອສທ໌” ປັບສະພາບດິນ

ກຽມຕົ້ນພັນ: ທ່ອນຂະຫນາດຍາວ 20 ຊມ. ໃຫຍ່ເທົ່າຫລຽນ10ບາດ

ແຊ່ທ່ອນພັນ: ເພື່ອປ້ອງກັນພະຍາດເນົ່າ, ປ້ອງກັນເພ້ຍແປ້ງ, ແມງຫວີ່ຂາວ

ແລະເພື່ອສ້າງ “ຮາກສະສົມອາຫານ” (Tuberous root)

ດ້ວຍ “ຊາຣ໌ຄອນ” ປະສົມ “ອໍຊ່າ”

ການປູກ: (1) ປັກທ່ອນພັນເລິກ 10 ຊມ. ຕັ້ງໃຫ້ອຽງສະເຫມີດິນ ເມື່ອແຕກໃບຊຸດທຳອິດໃຫ້ສີດພົ່ນດ້ວຍ “ໄບໂອເຈັດ” ເພື່ອ “ກະຕຸ້ນແຕກຮາກ ກະຊາກແຕກໃບ”

(2) ເມື່ອອາຍຸໄດ້ 21 – 25 ວັນ ເລີ່ມການໃສ່ຝຸ່ນໃຫ້ປະສົມ “ກຣີນອັພ” ຮໍໂມນແລະອາຫານເສີມພືດ (ຊະນິດເມັດ) ລົງໄປດ້ວຍ ເພື່ອປ້ອງກັນ “ຄວາມຫິວທີ່ເຊື່ອງຊ້ອນ”

ການລົງຫົວ (TUBERIZATION): ເມື່ອອາຍຸໄດ້75-90 ວັນ ກໍ່ສັ່ງ “ລົງຫົວ” ດ້ວຍ “ແອກຊອນ” ສານສຳຄັນສຳລັບມັນລົງຫົວ ລົງຫົວໄວ ຫົວໃຫຍ່ໄວ ຫົວດົກ

ການສ້າງແປ້ງ: ເມື່ອອາຍຸໄດ້ 4 ເດືອນຂື້ນໄປໃຫ້ສີດພົ່ນດ້ວຍ “ຊູກາໄຮເວ” + ພາວເວີ-5 3-4 ເທື່ອ ທຸກ 10-15 ວັນ ເພື່ອເພີ່ມການສະສົມແປ້ງ ສ້າງເປີເຊັນແປ້ງ

ຫມາຍເຫດ: ເຮັດຄົບຂະບວນການຫລັກໆແລ້ວຫລັງຈາກນັ້ນຜົນລັບກໍ່ຈະໃກ້ຄຽງເປົ້າຫມາຍທີ່ວາງໄວ້ (ຍົກເວັ້ນ: ຕົວແປທີ່ເຮົາບໍ່ສາມາດຄວບຄຸມໄດ້ ເຊັ່ນ ສະພາບອາກາດ ແລະປະລິມານນ້ຳທີ່ໄດ້ຮັບ)

ບໍລິສັດ ອໍກາແນລໄລຟ໌ (ປະເທດໄທ) ຈຳກັດ

ສຳນັກງານໃຫຍ່ 99/122 ຫມູ່ 6 ມ. ຊົນລະດາ (ວົງແຫວນຣັດຕະນາທິເບດ) ຖະຫນົນບາງໄຜ່-ຫນອງເພຣາງາຍ

ຕ. ບາງຣັກພັດທະນາ ອ.ບາງບົວທອງ ຈ.ນົນທະບູຣີ 11110 ໂທ 02-9654089 . 084-8809595 . 084-3696633

http://www.paccapon.blogspot.com/2015/08/tuberization.html

http://www.paccapon.blogspot.com/2015/08/blog-post_24.html

http://www.paccapon.blogspot.com/2015/03/10-20.html



สำหรับเพื่อนบ้าน กัมพูชา ชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรกัมพูชา ที่สอบถามมาครับ






สำหรับเพื่อนบ้าน สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า หรือ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ที่สอบถามมาครับ









ติดต่อสอบถาม
084-8809595 , 084-3696633
www.organellelife.com
www.organellelife-vdo.com
www.facebook.com/organellelife.org
Line ID:organellelife


วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เมล่อน Melon กับปัญหาไวรัส,เชื้อรา,แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค

แปลงเมล่อนที่อ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ 
แปลงนี้เป็นของคุณสำรวย สุขทวี
มีทั้งแบบปลูกในโรงเรือน และที่โล่งแจ้ง ซึ่งปัญหาของเมล่อนหรือพืชตระกูลเถา จะมีเยอะอยู่พอสมควร  ไม่ว่าจะเป็นโรคเหี่ยว โรคเน่า ราน้ำค้าง  ใบหงิกใบหด ใบด่าง เชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย

ปัญหาที่คุณสำรวยพบคือไวรัสทำให้ใบหงิก ยอดหงิก  จึงได้หาตัวยาที่จะใช้มารักษา เพราะลงทุนไปเยอะแล้ว

เดี๋ยวจะให้ดูภาพ ตอนที่เป็นไวรัส กับหลังจากฉีดฆ่าเชื้อและหยุดการลุกลาม ว่าสามารถให้ผลผลิตต่อได้หรือไม่นะครับ



 หลังจากเจอไวรัส ใช้อีเรเซอร์วันฉีดเพื่อฆ่าเชื้อและหยุดการลุกลามแล้ว ก็สามารถเจริญเติบโตได้ปกติ


จนมาถึงตอนนี้ติดดอกออกผลเรียบร้อยแล้ว


 ดีที่มาเจอ "อีเรเซอร์ - วัน" ได้ทันเวลาครับ



 เก็บเกี่ยวผลผลิต รอบสุดท้ายแล้วครับ


ส่วนภาพข้างล่างนี้ปลูกอีกรุ่นครับ 




ขอบคุณคุณสำรวย สุขทวีที่เปิดแปลงให้ชม และก็ทีมงานคุณสายสมรที่นำภาพมาแบ่งปันด้วยครับ



สิ่งที่สำคัญคืออยากให้ป้องกันไว้ก่อนครับ

ปลูกพืชตระกูลแตงจะกูลเถา  มี "อีเรเซอร์-วัน" ติดสวนไว้ เสมือนมียาสามัญประจำบ้าน เริ่มพบอาการเมื่อใดให้ ใช้อีเรเซอร์-วัน ฉีดพ่น เพื่อฆ่าเชื้อ และหยุดการลุกลาม เสมือนมีไม้หน้าสามไว้น็อคครับ
กรณีนี้คือเมื่อพบการระบาดแล้วนะครับ เลยแนะนำ "อีเรเซอร์-วัน"







แต่สำหรับท่านที่ต้องการดูแลและป้องกันตั้งแต่แรกเริ่ม 
จะทำอย่างไร?

จะขออธิบายถึงกลไกลการทำงาน ที่มาที่ไปว่ากรดอินทรีย์แต่ละตัว ทำหน้าที่ได้อย่างไรก่อนนะครับ



" วัคซีนพืช "
หยุดไวรัสพืช ด้วย ORG- Model
พืช ต่างๆ อาทิ มะละกอ ยาสูบ พริก มะเขือเทศ พืชตระกูลแตง ฯลฯ ที่ถูกไวรัสเข้าทำลายและระบาดหนักส่งผลให้ปริมาณผลผลิตเกิดความเสียหาย เกษตรกรเกิดภาวะขาดทุน และเกษตรกรก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้มีแต่ต้องเสียหายและทำลายทิ้ง การแก้ปัญหาไวรัสพืชที่เกิดขึ้น ถ้าเราเข้าใจกระบวนการและกลไกในการดูแลและป้องกันปัญหามันยังมีทางออก เพื่อหยุดความสูญเสียรายได้จากความเสียหายตรงนี้ เราลองมาศึกษาวิธีที่เป็นไปได้ภายใต้ "องค์ความรู้" ใหม่ๆกันดีไหม





มาทำความรู้จักกับ โรคไวรัสพืช กันเถอะ
หลักการหยุดไวรัสพืช ตามหลักการและแนวทางของ..ออร์กาเนลไลฟ์

กระบวนการ Systemic Acquired Resisitance (SAR) : นวัตกรรมใหม่ในการหยุดยั้ง ไวรัสพืชต่างๆ ทั้ง ใบด่าง ใบหด ใบหงิก ใบงอ ใบจู๋

1. อาศัยกลไกในการทำงานของ Systemic Acquired Resistance (SAR)
SAR เป็นระบบป้องกันตัวเองของพืชตามธรรมชาติ ซึ่ง จะถูกกระตุ้นเมื่อเชื้อโรค ทั้งเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส ที่เข้าทำลายพืชทำให้เกิดบาดแผลพืชจะเกิดการการตอบสนองอย่างฉับพลัน Hypersensitive Response (HR) และหลั่งสารSalicylic acid ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นสัญญาณ(SAR Signal) โดยผ่าน SA-Signaling Pathwayส่งสัญญาณไปยังเซลล์ต่างๆทั่วทั้งต้นพืช กระตุ้นให้ยีนต้านทานโรค (PR-Genes) สร้างโปรตีนต้านทานโรคตัวหนึ่งขึ้นมา(PR-Proteins) ที่ทำหน้าที่เป็นสารควบคุมและฆ่าเชื้อโรคหลายๆชนิด ทำให้พืชมีภูมิต้านทานโรค และสามารถรักษาโรคและป้องกันการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อรา แบคทีเรียและไวรัสได้ ก่อนที่เชื้อโรคจะลุกลามไปทั่วทั้งลำต้น

2. อาศัยกลไกในการทำงานของ Induced Systemic Resistance (ISR) โดยผ่าน JA-Signaling Pathwayด้วยการส่งสัญญาณเพื่อสร้างสารต่อต้านเชื้อโรค ใน กลุ่มของ Defense Proteins หลายๆชนิดอาทิ Defensins, Basic PR-Proteins ( อยู่ในช่องว่างในเซลล์ Vacuole) , Hevein-like Proteins, Thionins etc.

3. อาศัยกลไกในการทำงานของ Induced Systemic Resistance (ISR) โดยผ่าน JA-Signaling Pathwayด้วยการส่งสัญญาณเพื่อสร้างสารต่อต้านแมลง ซึ่งสารต่อต้านแมลงอาจแบ่งได้เป็นหลักๆ 3 กลุ่ม อาทิ
กลุ่มที่ 1 กลุ่ม Alkaloids อาทิ Saponin, Nicotine ฯลฯ ที่มีผลต่อระบบประสาทของแมลง และเอ็นไซม์ต่างๆ
กลุ่มที่ 2 กลุ่ม Proteinase Inhibitors มีผลต่อเอนไซม์ในระบบการย่อยของแมลง ทำให้เกิดอาการขาดอาหารที่มีผลต่อการเจริญเติบโตในแมลง
กลุ่ม ที่ 3 กลุ่ม Volatile Signal อาทิ Terpines , Indoles, Phenolics ฯลฯ เป็นสารระเหยที่ส่งสัญญาณในการขับไล่แมลงโดยตรง หรือทางอ้อมโดยสารระเหยที่ส่งสัญญาณล่อแมลง Predators (แมลงล่าเหยื่อ) เพื่อมากำจัดแมลงศัตรูพืช

4. การให้ธาตุอาหารพืชบางตัวที่จำเป็น อาทิ แคลเซียม(Ca) เพื่อ ช่วยให้ผนังเซลล์ของพืชแข็งแรง ทำให้ขบวนการสร้างภูมิต้านทานโรคและแมลงดีขึ้น และ สังกะสี(Zn) เพื่อช่วยในขบวนการสังเคราะห์สารต่อต้านโรคและแมลงและช่วยขบวนการส่งสัญญาณ ต่อต้านโรคและแมลงให้ดีขึ้น
เพื่อ เป็นสารตั้งต้น( Precursor ) ในการสร้างโปรตีนบางตัวในการต่อต้านโรคและแมลง และยังช่วยในการให้พลังงานแก่พืชด้วย หรือการให้สาร Malate Compounds ซึ่งเป็นสารตั้งต้น(Precursors) ในการสร้างสารต่อต้านโรคและมลงต่างๆ อาทิ สาร Alkaloids, Volatile Signals เป็นต้น

5. พืชที่ถูกทำลายโดยเชื้อไวรัส ทำให้ท่ออาหารและท่อน้ำเลี้ยงของพืชอาจอุดตัน เสื่อมประสิทธิภาพลง จำเป็นต้องฟื้นฟูด้วยการให้อาหารทางใบ ซึ่ง พืชจะได้รับสารอาหารทางปากใบโดยตรง และเข้าสู่กระบวนการปรุงอาหารเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว พืชจึงฟื้นตัวได้รวดเร็ว โดยการใช้สารให้พลังงานและอาหารพืชสำเร็จรูปที่จำเป็น อาทิ Monosaccharide , Amino acid , Organic acid ฯลฯ
แนวทางการแก้ปัญหาไวรัสพืช ในระบบ ORG-Model By Organellelife



1. ซิกน่า ออล อิน วัน( ZIGNA All in One ) (ต่อต้านเชื้อโรคและส่งสัญญาณขับไล่แมลง)

สาร ส่งสัญญาณในการต่อต้านโรคและแมลงต่างๆ( Cell Signalingin Resistance of Plant for Pathogen& Insect ) ทำงานผ่านระบบ SAR และ ISR ซึ่งมีส่วนผสมของสารสำคัญในขบวนการ SA-Signaling Pathway และขบวนการ JA-Signaling Pathway และธาตุอาหารสำคัญบางตัวอาทิ Ca , Znและสารสำคัญบางตัว อาทิ Amino acid , Malate Compounds เป็นต้น






2. ซาร์คอน ( SARCON) (สร้างเกราะป้องกันเชื้อโรคและแมลง)

เพื่อจุดประสงค์ที่สำคัญคือ
2. 1. กระตุ้นกระบวนการ Revitalization ระบบเซลล์ของพืช อาทิ การฟื้นฟูเซลล์และสร้างเซลล์ใหม่ การบำรุงเซลล์ให้สมบูรณ์ ไม่แบ่งเซลล์ที่ผิดปกติ การซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ

2.2. กระตุ้นกระบวนการสร้างภูมิคุ้มกันโรคพืช( Systemic Acquired Resistances: SAR) อาทิ ป้องกันโรครากเน่า-หัวเน่า โรคใบไหม้ต่างๆ

2.3 กระตุ้นการสร้างเกราะป้องกันแมลงและโรค(Agglomeration of Colliods Aggregrate) อาทิ ป้องกันเพลี้ยแป้ง
และ หนึ่งในนั้นก็คือ"กระบวนการสร้างเกราะป้องกันเพลี้ย" ด้วย"Orthosilisic acid" ที่แตกตัวเป็นสารในรูป"Polymer" และเข้าสู่กระบวนการ" Polymerization" จนเปลี่ยนรูปเป็นสาร "Colloids" และเข้าสู่กระบวนการ"Agglomeration" เพื่อเปลี่ยนรูปให้เป็นผลึกแข็ง(Colloids Aggregrate) และถูกเคลื่อนย้ายไปที่"ผนังเซลล์"(Cell Walls) ต่อไป ผนังเซลล์ก็จะแข็งแบบ"ผนังคอนกรีต" ยากซึ่งที่ปากเพลี้ยจะมาเจาะดูด แปลงอื่นอาจจะมีเพลี้ยมาเจาะน้ำเลี้ยงได้ง่ายและปล่อยเชื้อไวรัสไว้ แต่เราป้องกันไว้ดีกว่า การใช้ยาเคมีดูดซึมจะฆ่าเพลี้ยที่เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสใบหงิกได้ ตัวเพลี้ยมันตายไปแต่มันก็ปล่อยเชื้อไวรัสไว้ในพืชแล้ว พืชได้รับเชื้อก็ติดโรคไปแล้วเมื่อพืชได้รับ "ซาร์คอน" (SARCON) ในใบพืช ซิลิคอนจะสะสมมากในชั้นผนังเซลของเซลผิวนอกชนิดต่าง ๆ (epidermal cells) ได้แก่ bulliform cell, Cork cell, guard cell, long cell, micro-hair, prickle hair, silica cell, subsidiary cell และสะสมน้อยในเซลชั้นกลาง(mesophyll cells) และระบบท่อลำเลียง (vascular bundle cells) และระบบท่อลำเลียง (vascular bundle cells) ซิลิคอนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงปกป้องการบุกรุกของศัตรูพืชและสภาพแวดล้อม เลวร้ายต่าง ๆ ปกติพืชได้รับ Silicon ทีละน้อยจากการดูดซึมทางรากและเคลื่อนย้ายไปยังผนังเซลที่สะสมซิลิคอน เมื่อถูกกระตุ้นซิลิคอนจะรวมตัวกันเป็นชั้นโพลิเมอร์ในผนังเซลในรูป silicon – cellulose membrane ช่วยทำให้ผนังเซลแข็งแรงขึ้นเพื่อป้องกันตนเอง

มี ส่วนผสมของกรดซิลิซิคหรือซิลิคอนในรูปที่ละลายน้ำได้ และสามารถซึมผ่านเข้าไปในพืชได้ง่ายและรวดเร็ว เป็นสารช่วยสร้างความต้านทานโรคและแมลงให้แก่พืช โดยกรดซิลิซิคในรูปที่ออกฤทธิ์ได้ (Orthosilicic acid) จะช่วยเสริมสร้างโครงสร้างพืชให้แข็งแรงโดยเฉพาะในชั้นเซลล์ ผิวนอก(Epidermis) กรดซิลิซิคสะสมในผนังเซลล์และจะรวมตัวเป็นชั้นโพลิเมอร์(polymer)ปกป้องพืช เมื่อถูกกระตุ้นจากการบุกรุกของโรคและแมลง กรดซิลิซิคยังช่วยทำลายพิษที่ได้รับจากศัตรูพืชและยังช่วยส่งเสริมการ สังเคราะห์และการออกฤทธิ์ของสารต้านทานโรคและแมลงที่พืชสร้างขึ้นเองเช่น phytoalexins, flavonoids เป็นต้น


     กรดซิลิซิคที่รวมตัวกันเป็นชั้นของโพลิเมอร์( Layer of Polymers) เพื่อปกป้องพืช ก็ยังทำหน้าที่ในการทำให้พืชทนทานต่อสภาวะเครียดต่างๆ จาก ความแห้งแล้ง ความร้อน ความหนาวเย็น ความเค็มของดิน ฯลฯ ได้ดี ทำให้พืช ทนแล้ง ทนร้อน ทนหนาว ทนเค็มได้ดี อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาดินเปรี้ยวและรักษาความชุ่มชื้นในดินได้ ช่วยให้รากพืชแข็งแรง หาอาหารได้เก่ง ตลอดจนคุณสมบัติอีกอย่างที่กรดซิลิซิคสามารถทำหน้าที่ได้ดีคือการปลดปล่อย ธาตุอาหารที่ตกค้างในดินโดยเฉพาะฟอสเฟต และจับยึดสารพิษตกค้างในดินบางชนิดไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่พืชและไปทำลายพืช



3. อีเรเซอร์-1 (Eraser-1) (ฆ่าเชื้อและหยุดการลุกลาม)


สารกำจัดเชื้อโรคทั้งเชื้อไวรัส เชื้อราและแบคทีเรียแบบเฉียบพลัน และสารป้องกันเชื้อโรคในกระบวนการสร้างภูมิคุ้มกัน เสมือนเป็น"วัคซีน" ให้พืช ( ในกระบวนการ Systemic Acquired Resistance: SAR ) โดยผ่าน SA-Signaling Pathwayส่งสัญญาณไปยังเซลล์ต่างๆทั่วทั้งต้นพืช กระตุ้นให้ยีนต้านทานโรค (PR-Genes) สร้างโปรตีนต้านทานโรคตัวหนึ่งขึ้นมา(PR-Proteins) ที่ทำหน้าที่เป็นสารควบคุมและฆ่าเชื้อโรคหลายๆชนิด ทำให้พืชมีภูมิต้านทานโรค และสามารถรักษาโรคและป้องกันการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อรา แบคทีเรียและไวรัสได้ ก่อนที่เชื้อโรคจะลุกลามไปทั่วทั้งลำต้น
กลไกการออกฤทธิ์ของ "ERASER-1"
กลไกการออกฤทธิ์ของ อีเรเซอร์-1 สามารถเกิดขึ้นได้ที่ผนังเซลล์ทั้ง 2 ชั้นของเชื้อโรค ได้แก่

1. ผนังเซลล์ชั้นนอก ( outer membrane )
2. ผนังเซลล์ชั้นใน ( cytoplasmic membrane )



การ ออกฤทธิ์ที่ชั้นนอก ( outer membrane )ผนังเซลล์ซึ่งมีลักษณะเป็น Lipopolysaccharide จะมีประจุลบ(-)อยู่ด้านนอกเรียงตัวในลักษณะเป็น bilayer ดังนั้น "อีเรเซอร์-1" ที่มีประจุบวก(+)จะวิ่งไปจับกับผนังเซลล์ที่มีประจุลบ(-)อย่างรวดเร็ว ทำให้ผนังเซลล์บิดจนเกิดเกิดรอยร้าวขึ้น และสามารถผ่านเข้าไปสู่ชั้นในได้ต่อไป

การออกฤทธิ์ที่ชั้นใน ( cytoplasmic membrane )
Cytoplasmic membrance ก็จะมีลักษณะเป็น bilayer เหมือนชั้นนอกซึ่งมีประจุลบ(-) ที่บริเวณผิว "อีเรเซอร์-1" ที่เข้ามาจะจับติดกับผนังเซลล์แล้วมีกลไกออกฤทธิ์ที่เป็นไปได้ดังนี้
- ถ้าประจุบวก(+) แรงพอจะทำให้ผนังเซลล์แตกสลาย เชื้อโรคตายทันที
- จะเกาะกลุ่มกันทำให้เกิดท่อที่ผนังเซลล์ทำให้สารภายในเซลล์ไหลออกได้
- จะเรียงตัวที่ผิวเซลล์เหมือนปูพรม ทำให้ผนังเซลล์สูญเสียความแข็งแรง
- ตามรอยรั่วเข้าไปทำลายอวัยวะภายในเซลล์ซึ่งมีประจุลบ(-)

คุณสมบัติ อีเรเซอร์-1

ERASER-1 เป็นสารเสริมประสิทธิภาพกำจัดเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถช่วยกำจัดเชื้อโรคทุกชนิดที่อยู่ภายนอกได้อย่างรวดเร็วโดยการสัมผัส เชื้อโรคโดยตรง อีเรเซอร์-1 มีสารประกอบอินทรีย์ในรูปเกลือแอมโนเนียม ( NH4+ )  หรือ Ammonium Salt of Organic Compounds ซึ่งจะมีประจุบวก(+) อย่างแรงวิ่งไปจับกับเชื้อโรค  ทำให้ผนังเซลล์ของเชื้อโรคทำให้ผนังเซลล์ของเชื้อโรคเสียสมดุลและแตกสลายจน ตายได้ในทันที อีเรเซอร์-1 ยังมีส่วนผสมของสารเสริมประสิทธิภาพทำให้ตัวยากระจายและจับติดใบหรือส่วน ต่าง ๆ ของพืชได้ดี  อีเรเซอร์-1 ไม่ถูกดูดซึมเข้าไปในเซลล์พืชและจะหมดประสิทธิภาพอย่างรวดเร็วหลังจากสัมผัส กับเชื้อโรคหรือสารอินทรีย์อื่น ๆ สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย

คุณประโยชน์

ใช้ กำจัดและควบคุมโรคพืชได้รวดเร็ว โดย อีเรเซอร์-1 สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ทั้งเชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส และสาหร่ายที่ทำให้เกิดโรคพืช บริเวณผิวนอกของพืช เช่น โรคแอนแทรคโนส โรคราน้ำค้าง โรคโคนเน่า โรคใบไหม้ โรคราแป้ง โรคราสนิม โรคใบจุด โรคเหี่ยว โรคแคงเคอร์ โรคยอดเน่า โรคผลเน่า และอื่น ๆ เป็นต้น

เชื้อ โรคจะถูกกำจัดและหยุดการลุกลามได้อย่างรวดเร็ว เพราะอีเรเซอร์-1 สามารถฆ่าเชื้อบริเวณผิวนอกของพืชได้มากกว่า 99% ในทันที  หลังจากเชื้อโรคสัมผัสกับน้ำยาไม่เกิน 5 นาที

เสริม ประสิทธิภาพในการควบคุมและกำจัดเชื้อโดยที่ อีเรเซอร์-1 สามารถแพร่กระจายตัวยาได้ทั่วบริเวณที่ฉีดพ่น และจับกับเชื้อโรคที่ผิวด้านนอกของพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว

สามารถ ใช้ร่วมกับยาป้องกันและกำจัดศัตรูพืชได้ทุกชนิด ยกเว้นสารเสริมประสิทธิภาพ  อื่น ๆ และสามารถลดการใช้และการดื้อยาของสารกำจัดโรคพืชทั่ว ๆ ไปได้

อี เรเซอร์-1 สามารถใช้ได้ทั้งก่อนการเก็บเกี่ยว ( Pre-harvest ) และหลังการเก็บเกี่ยว ( Post-harvest ) และจะสูญสลายอย่างรวดเร็วหลังจากฆ่าเชื้อโรคแล้ว จึงไม่ตกค้างในพืชและผลผลิต ปลอดภัยต่อพืช คน และสัตว์

เหมาะ กับโรคแอนแทรคโนส, โรคราน้ำค้าง, ราแป้ง, ใบจุด, ราสนิม, โรคเน่า, และโรคอื่นๆ ในหอม  กระเทียม พริก มะเขือเทศ ข้าว ข้าวโพดหวาน แตงโม แตงกวา แคนตาลูป คะน้า กะหล่ำปลี ผักกาด ฟัก มะระ บวบ หน่อไม้ฝรั่ง มะม่วง องุ่น ทุเรียน ลำไย ส้ม มะนาว กล้วยไม้ มะละกอ กล้วย มันฝรั่ง สับปะรสและพืชตระกูลถั่ว






 4.คาร์บอกซิล-พลัส เอ็กซ์ตร้า (เหมาะกับโรคเหี่ยว โรคเน่า)


คาร์บอกซิล-พลัส เอ็กซ์ตร้า 
สารอินทรีย์อาหารเสริมเข้มข้น คุ้มครอง และรักษาโรคพืช ลดปัญหาการหลุดล่วงและทำให้ผลผลิตเก็บได้นาน

คุณสมบัติพิเศษ
- เป็นสารอินทรีย์ดูดซึมพิเศษ ช่วยต่อต้านเชื้อโรคพืช เป็นสารอาหารเสริมพืช ที่พืชใช้เป็นสารตั้งต้น ในขบวนการสังเคราะห์พลังสานและสารอาหารที่จำเป็น
- ช่วยคุ้มครองพืชและลดการติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วกว้างขวาง และครอบคลุมทั้งภายในและภายนอก เช่น โรคเหี่ยวเฉาพริก มะเขื่อเทศ มันฝรั่ง , โรคเน่าและกระหล่ำ , โรคแข้งดำยาสูบ , โรคใบหงิกงอ ใบหด ยาสูบ , โรคโคนเน่ามะเขือต่าง ๆ , โรคใบต่างวงแหวนมะละกอ , โรคจากเชื้อไวรัส ฯลฯ
- ช่วยลดการใช้สารกำจัดโรคพืช ซึ่งเป็นสารที่มีอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
- มีแคลเซียมอยู่ในรูปคีเลท (Calcium Chelate) ทำให้พืชได้รับแคลเซียมพอเพียง ทำให้พืชแข็งแรงและให้ผลผลิตสม่ำเสมอ
- เป็นสารอินทรีย์ที่ไม่เป็นพิษต่อคน พืช สัตว์และสิ่งแวดล้อม ไม่เป็นพิษตกต้างในพืชและผลผลิตใช้ได้กับพืชทุกชนิดทั้งพืชผัก พืชไร่ ไม้ผลและไม้ดอกไม้ประดับ

อัตราการใช้ 20 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น
องค์ประกอบของ Carboxyl-Plus Extra (คาร์บ๊อกซิล-พลัส เอ็กซ์ตร้า)

กรดอินทรีย์ (Organic acid) - สารอินทรีย์ที่มีฤทธิ์เป็นกรดในสารละลาย (ให้ H+ )

กรดคาร์บ๊อกไซลิค (Carboxylic acid) - กรดอินทรีย์ที่มี Carboxyl group ในโมเลกุล

กรดไขมัน (Fatty acic) - กรดคาร์บอกไซลิคที่มี Carbon (C) ต่อตรง (Aliphatic chain) เท่านั้น


กลไกการออกฤทธิ์ Carboxyl-Plus Extra 

• ในสารละลายกรดคาร์บอกไซลิคจะแตกตัวให้ H+ จนอยู่ในสภาพสมดุล

• ที่จุดสมดุลย์ กรดคาร์บอกไซลิค จะอยู่ในสภาพแตกตัวและไม่แต่ตัว


• ที่จุดสมดุลย์ กรดคาร์บ๊อกไซลิค แต่ละชนิดมีสภาพแตกตัวไม่เท่ากัน
วัดได้เป็นค่า pKa (ค่าการแตกตัว) ซึ่งจะคงที่สำหรับกรดแต่ละชนิด

• กรดที่มี pKa สูง จะมีสภาพไม่แตกตัวมากกว่า กรดที่มี pKa ต่ำ (เมื่อมี PH สูงขึ้น)






ภาพพืชเจอไวรัส


































ภาพพืชปลอดไวรัส

















แมลงหวี่ขาว


แมลง หวี่ขาว อาจจะไม่ใช่แมลงที่พบเห็นทั่วไปได้บ่อยนัก แต่ก็เป็นศัตรูพืชอีกตัวหนึ่งซึ่งสร้างความเสียหายต่อพืชเศรษฐกิจหลายชนิด ได้อย่างน่ากลัว อาทิ เช่น พืชตระกูลยาสูบ พริก มะเขือเทศ แตงกวา แตงโม แมลงหวี่ขาวจะระบาดมากในช่วงที่อากาศร้อน แล้ง อากาศแห้งๆ และสิ่งที่น่ากลัวที่จะติดตามมาจากการเข้าทำลายของแมลงหวี่ขาว นั่นก็คือ เชื้อไวรัส ที่จะก่อให้เกิดอาการใบด่าง ใบหงิก ใบหด ยอดหด ซึ่งสร้างความเสียหายต่อผลผลิตได้มาก

 แต่ถ้าหากเรารู้จักป้องกันแมลงหวี่ขาวไว้ได้เสียแต่เนิ่นๆ ความเสียหายก็จะไม่มาเยือนพืชของเรา
มาบริหารจัดการกับ"แมลงหวี่ขาว"และ"เชื้อไวรัส" ก่อนที่จะสายเกินไป "กันไว้ดีกว่าแก้"กันดีกว่าไหม?..ครับ
หลักการหยุดไวรัสใบหด(TLCV)ในพืชตระกูล Solanaceae อาทิ ยาสูบ มะเขือเทศ พริก มันฝรั่ง ตามหลักการและแนวทางของ..ออร์กาเนลไลฟ์
นวัตกรรมใหม่ในการหยุดยั้งไวรัสใบด่าง ใบหด ใบหงิก

1.อาศัย กลไกในการทำงานของ Induced Systemic Resistance (ISR) โดยผ่าน JA-Signaling Pathwayด้วยการส่งสัญญาณเพื่อสร้างสารต่อต้านเชื้อโรค ในกลุ่มของ Defense Proteins หลายๆชนิดอาทิ Defensins, Basic PR-Proteins ( อยู่ในช่องว่างในเซลล์ Vacuole) , Hevein-like Proteins, Thionins etc.

2.อาศัยกลไกในการทำงานของ Systemic Acquired Resistance (SAR)
SAR เป็นระบบป้องกันตัวเองของพืชตามธรรมชาติ ซึ่งจะถูกกระตุ้นเมื่อเชื้อโรค ทั้งเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส ที่เข้าทำลายพืชทำให้เกิดบาดแผลพืชจะเกิดการการตอบสนองอย่างฉับพลัน Hypersensitive Response (HR) และหลั่งสารSalicylic acid ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นสัญญาณ(SAR Signal) โดยผ่าน SA-Signaling Pathwayส่งสัญญาณไปยังเซลล์ต่างๆทั่วทั้งต้นพืช กระตุ้นให้ยีนต้านทานโรค (PR-Genes) สร้างโปรตีนต้านทานโรคตัวหนึ่งขึ้นมา(PR-Proteins) ที่ทำหน้าที่เป็นสารควบคุมและฆ่าเชื้อโรคหลายๆชนิด ทำให้พืชมีภูมิต้านทานโรค และสามารถรักษาโรคและป้องกันการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อรา แบคทีเรียและไวรัสได้ ก่อนที่เชื้อโรคจะลุกลามไปทั่วทั้งลำต้น

3. อาศัยกลไกในการทำงานของ Induced Systemic Resistance (ISR) โดยผ่าน JA-Signaling Pathwayด้วยการส่งสัญญาณเพื่อสร้างสารต่อต้านแมลง ซึ่งสารต่อต้านแมลงอาจแบ่งได้เป็นหลักๆ 3 กลุ่ม อาทิ
กลุ่มที่ 1 กลุ่ม Alkaloids อาทิ Saponin, Nicotine ฯลฯ ที่มีผลต่อระบบประสาทของแมลง และเอ็นไซม์ต่างๆ
กลุ่มที่ 2 กลุ่ม Proteinase Inhibitors มีผลต่อเอนไซม์ในระบบการย่อยของแมลง ทำให้เกิดอาการขาดอาหารที่มีผลต่อการเจริญเติบโตในแมลง
กลุ่ม ที่ 3 กลุ่ม Volatile Signal อาทิ Terpines , Indoles, Phenolics ฯลฯ เป็นสารระเหยที่ส่งสัญญาณในการขับไล่แมลงโดยตรง หรือทางอ้อมโดยสารระเหยที่ส่งสัญญาณล่อแมลง Predators (แมลงล่าเหยื่อ) เพื่อมากำจัดแมลงศัตรูพืช





การบริหารจัดการพืชตระกูลแตงที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่งทาง
เบื้องต้น อย่าลืม..ป้องกันแมลงหวี่ขาว เพลี้ยไฟและเชื้อไวรัส ตลอดจนโรคราน้ำค้างด้วย "ซิกน่า+ซาร์คอน" การป้องกันที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
และเมื่อพบว่าเริ่มมีการระบาดของโรค "ราน้ำค้าง" โรคที่ทำความเสียหายได้รวดเร็ว
ให้ ฉีดพ่นแบบประหารชีวิตราน้ำค้างด้วย"อีเรเซอร์-1"

ที่สำคัญถ้ามีฝนตกชุกอาจเกิดอาการโรคโคนเน่าหรือต้นเน่าหรือโรคเหี่ยวเฉาได้ ให้เราเอา "คาร์บ๊อกซิล-พลัส"  ฉีดพ่นป้องกันไว้ตั้งแต่เริ่มต้นก็จะดี นี่คือ..วิธี่ที่ดีที่สุดที่จะทำ"ประกันชีวิต" ให้กับแตงกวาของเรา แตงกวาของเราโตเร็ว แตกยอด แตกใบดี อย่างน่าอัศจรรย์ ถ้าเราฉีดพ่นให้มันด้วย "ไบโอเจ็ท" สุดยอด "ฮอร์โมน อาหารเสริม โปรตีน สารให้พลังงาน" ชั้นดีที่ไม่มีใครเทียบ
สุดท้ายก็มาถึงซึ่งช่วงสำคัญที่ เราจะเอา "ผลผลิตที่สูง ผลผลิตที่สวย" ต้องใช้ "ตัวช่วย" คู่นี้เลย"คู่บุญ"..ซูการ์+เพาเวอร์-5 แตงกวาจะ "มหาดก" ดอกดก ผลดก ผลสวย เนื้อแน่น น้ำหนักดี มีผลสม่ำเสมอไม่เน่าเสียง่าย เก็บขายจนเบื่อ เลยทีเดียวเชียวแหล่ะครับ ย้ำอีกครั้ง..อย่าพลาดพลั้งเรื่อง "โรคไวรัส" กับ "ราน้ำค้าง" ต้องวางใจใช้  "วัคซีนพืช" ..ซิกน่า+ซาร์คอน" ก่อนที่จะสายเกินแก้ ถ้าแย่จะแก้ไม่ทัน นะครับ


หมายเหตุ: ที่สำคัญทุกอย่างปลอดสารพิษ ชีวิตยืนยาว





วิธีใช้สินค้าสำหรับเมล่อน
1. ทางดิน
- ใช้ ซอยล์ไลฟ์ 10 กรัม/น้้า 20 ลิตร ราด ฉีดพ่น หรือให้ทางน้้าหยด


2. ก่อนปลูก
- ใช้ ซิกน่าฉีดพ่นต้นกล้าก่อนจะปลูก เพื่อขับไล่แมลงพาหะน้าเชื้อไวรัส
อัตราผสม 10 ซีซี / น้้า 20 ลิตร


3. หลังปลูก
- หลังปลูกได้ 3 วัน ใช้ ซาร์คอน 20 ซีซี + คาร์บ็อกซิล 20 ซีซี ผสมในน้้า 20 ลิตร ฉีดพ่น เพื่อป้องกันโรคเน่า



**พอ ครบ 7 วัน กลับมาทำขั้นตอนที่ 2 ฉีดพ่นซิกน่า หลังจากฉีดพ่นซิกน่าผ่านไป 3 วันก็ทำตามขั้นตอนที่ 3 ฉีดพ่น ซาร์คอน + คาร์บ็อกซิล หมายเหตุ : ซิกน่า ควรฉีดให้ได้ 2-3 ครั้ง / ซาร์คอน + คาร์บ็อกซิล ควรฉีดให้ได้ 3-4 ครั้ง


- ไบโอเจ็ท ฉีดพ่นทางใบเพื่อบำรุงต้น เร่งการเจริญเติบโต กระตุ้นการแตกยอด แตกใบ แตกดอก 7- 10 วันครั้ง ฉีดได้ตลอดทุกช่วง(ยกเว้นช่วงติดดอก)

- พอโตแล้ว ให้สังเกตดูว่าถ้าเริ่มเห็นอาการ มีจุดตรงใบ ,ใบไหม้,เริ่มมีราน้ำค้าง,ยอดหงิก ให้ใช้
อีเรเซอร์วัน 20 ซีซี / น้้า 20 ลิตร ฉีดพ่น 4 - 5 วันครั้ง (ซัก 2 รอบ) เพื่อฆ่าเชื้อ แต่ถ้าไม่พบอาการก็ไม่ต้องฉีด



*** ถ้าอยากเพิ่มคุณภาพ เพิ่มผลผลิต  เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับทุกส่วนของพืช ติดดอก ออกผลดี  รสหวาน ผิวสวย  แนะนำคู่ ORG-1 + ORG-2  อย่างละ 20 ซีซี / น้ำ  20 ลิตร(ฉีดได้ทุกช่วงตั้งแต่ปลูกใหม่)















อีเรเซอร์-วัน เป็นทั้งวัคซีนป้องกัน และตัวฆ่าเชื้อแบบเฉียบพลัน เชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย

วัคซีนแบบดูดซึมครอบคลุมทั้งภายในและภายนอก เหมาะสำหรับป้องกันโรคเหี่ยวเฉา รากเน่า โคนเน่า


ส่งสัญญาณขับไล่ตัวพาหะนำเชื้อ และมีกรดอะมิโน ธาตุอาหารช่วยเพิ่มความสมบูรณ์


สร้างเกราะป้องกันโรคและแมลงเข้าทำลาย กระตุ้นการเจริญเติบโต

































ในภาพนี้ ไม่ใช่เชื้อราครับ  แต่เกิดจาก "แบคทีเรีย"






สอบถามเพิ่มเติม 

บริษัท ออร์กาเนลไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด 
084 -8809595, 084-3696633

Line ID : @organellelife.com  (มี@ด้วยครับ)
หรือกดลิงก์ด้านล่าง แล้วเพิ่มเป็นเพื่อน เพื่อคุยสอบถามข้อมูลได้ครับ https://lin.ee/nTqrAvO